UN ชี้โรคเอดส์อาจหมดไปภายในปี 2573 หากมีการลงทุนป้องกัน-รักษา

กองบรรณาธิการ TCIJ 19 ก.ค. 2566 | อ่านแล้ว 2620 ครั้ง

UN ชี้โรคเอดส์อาจหมดไปภายในปี 2573 หากมีการลงทุนป้องกัน-รักษา

องค์การสหประชาชาติ (UN) เผยโรคเอดส์อาจสิ้นสุดลงได้ภายในปี 2573 หากประเทศต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงทางการเมืองเพื่อลงทุนในการป้องกันและรักษาโรค และปรับใช้กฎหมายที่ไม่เลือกปฏิบัติ

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่าองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 ก.ค ว่าโรคเอดส์อาจสิ้นสุดลงได้ภายในปี 2573 หากประเทศต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงทางการเมืองเพื่อลงทุนในการป้องกันและรักษาโรค และปรับใช้กฎหมายที่ไม่เลือกปฏิบัติ

โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ระบุว่าในปี 2565 คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 39 ล้านราย โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ หากไม่ได้รับการรักษา

"เราสามารถหาทางออกได้ หากเราปฏิบัติตามผู้นำของประเทศต่างๆ ที่หล่อหลอมความมุ่งมั่นทางการเมืองอันเข้มแข็ง ในการให้ความสำคัญกับประชาชนมาก่อนสิ่งอื่นใด และลงทุนในโครงการป้องกันและรักษาเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ" UNAIDS ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ก.ค.

UNAIDS กล่าวว่า การรับมือกับเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพยังหมายถึงการนำกฎหมายที่ไม่เลือกปฏิบัติมาใช้ ตลอดจนการส่งเสริมเครือข่ายชุมชนและโครงการริเริ่มอื่น ๆ โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ป่วยโรคเอดส์ในหลาย ๆ ประเทศ ต้องเผชิญกับการตีตราจากสังคม การเลือกปฏิบัติ และความรุนแรง

นอกจากนี้ UNAIDS เสริมว่า "เราเห็นความก้าวหน้าที่ชัดเจนในประเทศและภูมิภาคที่มีการลงทุนทางการเงินมากที่สุด เช่น ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก และแอฟริกาทางตอนใต้ ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ลดลง 57% นับตั้งแต่ปี 2553"

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคยุโรปตะวันออก เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ

UNAIDS ระบุว่า "สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังของการติดเชื้อเพิ่มขึ้นคือการขาดแคลนบริการการป้องกันเชื้อเอชไอวีทั้งในกลุ่มประชากรชายขอบและประชากรกลุ่มหลัก บวกกับอุปสรรคที่เกิดจากการลงโทษทางกฎหมาย และการเลือกปฏิบัติทางสังคม"

ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 1.3 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ 630,000 ราย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: