สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่าไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าไหนการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ควรมีการใช้เป็นประจำทุกวันและควรเลือกใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดและปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำที่หลายคนคงคุ้นชินในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดนั้นก็คือ SPF และ PA ซึ่งในบทความนี้ อย. จะมาแนะนำถึงความแตกต่างของค่าทั้ง 2 ตัว พร้อมวิธีการเลือกผลิตภัณฑ์ ดังนี้
ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าในการป้องกันผิวไหม้แดงจากการสัมผัสรังสี UVB เนื่องจากรังสี UVB ทำให้ผิวแดงไหม้ พอง มีอาการปวดแสบปวดร้อน และผิวคล้ำ โดยหากมีค่ายิ่งสูงเท่าไรจะยิ่งสามารถอยู่กลางแดดได้นานขึ้น โดยความจำเป็นในการเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF ต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของแต่ละบุคคล สามารถแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ เช่น
- SPF 10 – 15 เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในร่มทั้งวัน ไม่ออกแดดเลย
- SPF 15 - 29 เหมาะสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้งระหว่างวัน
- SPFมากกว่า 30 เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่กลางแจ้งมาก หรือผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อแสงแดด
ค่า PA (Protection Grade of UVA) คือ ค่าในการปกป้องผิวจากการสัมผัสรังสี UVA เนื่องจากรังสี UVA ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ผิวคล้ำ เป็นฝ้า กระ และอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังบางชนิดได้ โดยค่า PA แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
- PA+ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้น้อย
- PA++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้ปานกลาง
- PA+++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้สูง
- PA++++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้สูงมาก
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปกป้องผิวได้จากทั้งรังสี UVA และ UVB
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป
การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
- ควรทาก่อนออกแดด 15 – 30 นาที
- ควรทาซ้ำระหว่างวัน โดยอาจทาซ้ำทุกประมาณ 2 ชั่วโมง
- ควรทาให้หนาพอที่จะปกป้องผิว โดยทาครั้งละประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ แบ่งทาทีละ1 ข้อนิ้ว สำหรับทาหน้าและลำคอและทาซ้ำ 2 รอบในแต่ละครั้ง
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/10212020-1024
https://www.si.mahidol.ac.th/Th/healthdetail.asp?aid=458
https://oryor.com/media/infoGraphic/media_printing/331
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ