Rocket Media Lab สำรวจสุขภาพจิตเด็กไทยพบเครียดเรื่องเรียนมากที่สุด แต่ปัญหาครอบครัวทำให้ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง | ที่มาภาพ: Satjawat Boontanataweepols on Canva
- ผลสำรวจเด็กนักเรียนชั้น ม.1- ม.6 รวมถึง ปวช. 3,516 คน พบว่า 3 อันดับแรกที่ทำให้วัยเรียนเครียดมากที่สุดคือ เรื่องการเรียน จำนวน 1,809 คน คิดเป็น 51.45% ตามด้วยเรื่องรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 349 คน คิดเป็น 9.93%, ครอบครัว 344 คน คิดเป็น 9.78%
- แม้พบว่าความเครียดที่มีไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากที่สุดถึง 54.58% แต่ก็พบว่าความเครียดด้านครอบครัวเป็นประเด็นที่ส่งผลให้นักเรียนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย 74 คน เคยลงมือทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น 18 คน มีความคิดอยากทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น 12 คน
- ในขณะที่ความเครียดที่ส่งผลกระทบในระดับอารมณ์ของนักเรียน เช่น วิตกกังวล กลัว เศร้า ไม่อยากเข้าสังคม พบว่ามาจากประเด็นเรื่องการเรียน 355 คน คิดเป็น 43.99% รูปร่าง หน้า บุคลิก 109 คน คิดเป็น 13.51% และครอบครัว 104 คน คิดเป็น 12.89%
- ส่วนความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ เครียดลงกระเพาะ พบว่ามาจากประเด็นเรื่องการเรียน 330 คน คิดเป็น 62.38% การเงิน 53 คน คิดเป็น 10.02% และครอบครัว 39 คน คิดเป็น 7.37%
- โดยในจำนวนนักเรียนที่ปรึกษานักจิตวิทยา/แพทย์ 57 คน มีนักเรียนที่เครียดจากการเรียนมากที่สุด 21 คน รองลงมาเป็นความเจ็บป่วย 11 คน ตามด้วยเรื่องการเงิน ครอบครัว และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิกเท่ากันที่ 5 คน ความรัก 3 คน ตามด้วยเพศสัมพันธ์และเพื่อนเท่ากัน 2 คน สังคมการเมืองและครู เท่ากัน 1 คน
- เมื่อถามว่า อยากได้การสนับสนุน หรือความช่วยเหลือในรูปแบบใดเพิ่มเติมในการจัดการความเครียด นักเรียนตอบว่าไม่ต้องการมากที่สุด 1,705 คน คิดเป็น 36.76% ส่วนที่ต้องการใน 3 อันดับแรกพบว่า ต้องการครูแนะแนวที่ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง 1,063 คน คิดเป็น 22.92% ตามด้วย มีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน 610 คน คิดเป็น 13.15% และการมีช่องทางให้คำปรึกษาในรูปแบบออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญ 590 คน คิดเป็น 12.72%
เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปี ร็อกเกต มีเดีย แล็บ ร่วมกับ มูลนิธิแพธทูเฮลท์ (p2h) ทำการสำรวจข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทั้งความเครียด วิตกกังวลในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา (ม.1-6) และ ปวช. (1-3) ผ่านทางแบบสอบถามออนไลน์ ระหว่างวันที่ 16-30 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ผลการสำรวจมีดังนี้
จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,516 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 1,935 คน หรือคิดเป็น 55.03% เพศชาย 1,323 คน หรือคิดเป็น 37.63% ตามด้วย LGBTQ+ 184 คน หรือคิดเป็น 5.23% และไม่ต้องการระบุ 74 คน คิดเป็น 2.10% โดยผู้ตอบมีอายุระหว่าง 11-20 ปี
เมื่อแบ่งตามระดับการศึกษา แบ่งได้เป็นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 2,461 คน หรือคิดเป็น 69.99%ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 843 คน หรือคิดเป็น 23.98% และ ปวช.1-3 จำนวน 212 คน หรือคิดเป็น 6.03%
เมื่อแยกพื้นที่ของนักเรียนที่ตอบแบบสอบถาม พบว่า อยู่ในภาคกลางมากที่สุด ที่ 2,716 คน หรือคิดเป็น 77.25% ตามด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 728 คน หรือ 20.71% ตะวันออก 24 คน หรือ 0.68% ตะวันตกและใต้ เท่ากันที่ 14 คน หรือ 0.40% ตามด้วย ภาคเหนือ 20 คน หรือ 0.57% โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจาก 52 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดที่ตอบมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร 1,006 คน หรือคิดเป็น 28.61% นนทบุรี 547 คน หรือ 15.56% ตามด้วยอุบลราชธานี 462 คน หรือ 13.14%
การเรียน รูปร่างหน้าตา และครอบครัว คือสิ่งที่ทำให้เด็กเครียดมากที่สุด
เมื่อถามว่า เครียดเรื่องอะไรมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา โดยมีตัวเลือก 12 ข้อ ให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่า เป็นเรื่องการเรียนมากที่สุด จำนวน 1,809 คน คิดเป็น 51.45% ตามด้วยเรื่องรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 349 คน คิดเป็น 9.93%, ครอบครัว 344 คน คิดเป็น 9.78%, การเงิน 343 คน คิดเป็น 9.76%, ความรัก 217 คน คิดเป็น 6.17%, เพื่อน 170 คน คิดเป็น 4.84%, ความเจ็บป่วย 83 คน คิดเป็น 2.36%, สังคม การเมือง 72 คน คิดเป็น 2.05%, การทำงาน 51 คน คิดเป็น 1.45%, ครู 43 คน คิดเป็น 1.22%, เพศสัมพันธ์ 22 คน คิดเป็น 0.63% และเรื่องเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศ 13 คน คิดเป็น 0.37%
หากแบ่งตามระดับชั้น พบว่า เรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามในระดับ ม.ต้น จำนวน 2,461 คน หรือคิดเป็น 69.99% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด เครียดมากที่สุด คือ การเรียน 1,265 คน คิดเป็น 51.40% ตามด้วยรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 269 คน คิดเป็น 10.93% และความรัก 165 คน คิดเป็น 6.70%
เรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามในระดับ ม.ปลาย จำนวน 843 คน หรือคิดเป็น 23.98% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด เครียดมากที่สุดคือ เรื่องการเรียน 479 คน คิดเป็น 56.82% ตามด้วย การเงิน 138 คน คิดเป็น 16.37% และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 59 คน คิดเป็น 7.00%
เรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามในระดับ ปวช. จำนวน 212 คน หรือคิดเป็น 6.03% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด เครียดมากที่สุดคือ การเรียน 65 คน คิดเป็น 30.66% ตามด้วยการเงิน 52 คน คิดเป็น 24.53% และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 21 คน คิดเป็น 9.91%
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า นักเรียน ม.ปลาย และนักเรียน ปวช. มี 3 อันดับแรกที่เหมือนกัน คือ ในขณะที่นักเรียน ม.ต้น นั้น ไม่มีเรื่องการเงิน แต่ในอันดับสองเป็นเรื่องครอบครัว ซึ่งอาจเป็นเพราะว่านักเรียน ม.ต้น อาจจะยังไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องการเงินนั่นเอง
หากแบ่งตามเพศ จะพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าเป็นเพศหญิง ตอบว่า เครียดเรื่องการเรียนมากที่สุด 979 คน คิดเป็น 50.59% ตามด้วยครอบครัว 238 คน คิดเป็น 12.30% และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 215 คน คิดเป็น 11.11%
ผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าเป็นเพศชายตอบว่า เครียดเรื่องการเรียนมากที่สุด 732 คน คิดเป็น 55.33% ตามด้วยการเงิน 160 คน คิดเป็น 12.09% และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 98 คน คิดเป็น 7.41%
ผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าเป็น LGBTQIA+ ตอบว่า เครียดเรื่องการเรียนมากที่สุด 67 คน คิดเป็น 36.41% ตามด้วย รูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 29 คน คิดเป็น 15.76% และครอบครัว 24 คน คิดเป็น 13.04%
ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ต้องการระบุเพศ ตอบว่า เครียดเรื่องการเรียนมากที่สุด 31 คน คิดเป็น 41.89% ตามด้วยการเงิน 11 คน คิดเป็น 14.86% และครอบครัว 10 คน คิดเป็น 13.51%
กลัวเกรดไม่ดี ทำให้นักเรียนเครียดมากที่สุด
เมื่อเลือกตอบว่าเรื่องที่เครียดที่สุดคือเรื่องใดแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนจะถูกให้ตอบเฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองที่เครียดที่สุด
เมื่อถามต่อว่า ประเด็นด้านการเรียนที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่ 727 คน คิดเป็น 40.19% ตอบว่า กลัวเกรดไม่ดี ตามด้วย กลัวสอบตก 241 คน คิดเป็น 13.32%, กลัวสอบเข้าเรียนต่อไม่ได้ 203 คน คิดเป็น 11.22%, กลัวเรียนไม่จบ 192 คน คิดเป็น 10.61%, งานที่ต้องส่งมากเกินไป 168 คน คิดเป็น 9.29%, ไม่เข้าใจบทเรียน 113 คน คิดเป็น 6.25%, กังวลว่าจะไม่ได้เรียนต่อในระดับที่อยากเรียน 92 คน คิดเป็น 5.09%, เรียนหนักเกินไป ชั่วโมงเรียนมากเกินไป 45 คน คิดเป็น 2.49%, ไม่ได้เรียนในสายที่อยากเรียน แต่เรียนตามใจผู้ปกครอง 14 คน คิดเป็น 0.77%, อุปกรณ์การเรียนไม่พร้อม 8 คน คิดเป็น 0.44% และไม่ได้เรียนพิเศษ 6 คน คิดเป็น 0.33%
โดยผู้ที่ตอบว่า เครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวเกรดออกมาไม่ดี แบ่งเป็นนักเรียน ม.ต้น 521 คน คิดเป็น 71.66% ตามด้วย ม.ปลาย 186 คน คิดเป็น 25.58% และ ปวช. 20 คน คิดเป็น 2.75%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่า ความเครียดเรื่องการเรียนของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ กลัวเกรดไม่ดี 521 คน คิดเป็น 41.19% กลัวสอบตก 214 คน คิดเป็น 16.92% กลัวเรียนไม่จบ 150 คน คิดเป็น 11.86% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ กลัวเกรดไม่ดี 186 คน คิดเป็น 38.83% กลัวสอบเข้าเรียนต่อไม่ได้ 111 คน คิดเป็น 23.17% งานที่ต้องส่งมากเกินไป 45 คน คิดเป็น 9.39% และ ปวช. 3 อันดับแรกคือกลัวเกรดไม่ดี 20 คน คิดเป็น 30.77% กลัวเรียนไม่จบ 15 คน คิดเป็น 23.08% ไม่เข้าใจบทเรียน 7 คน คิดเป็น 10.77%
อ้วน-ผอม ไม่สวย-ไม่หล่อ ผิวไม่ขาวกระจ่างใสก็ทำให้เครียด
เมื่อถามว่า ประเด็นรูปร่าง-หน้าตาที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งระบุว่า กังวลเรื่องรูปร่าง-ส่วนสูง เช่น อ้วนหรือผอมเกินไป สูงหรือเตี้ยเกินไป หน้าอกเล็กหรือใหญ่เกินไป ไม่มีกล้าม 145 คน คิดเป็น 41.55% ตามด้วยกังวลเรื่องหน้าตา ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความสวย/หล่อ 82 คน คิดเป็น 23.50%, กังวลเรื่องสีผิว เช่น สีผิวไม่ขาวกระจ่างใส 73 คน คิดเป็น 20.92%, กังวลเรื่องทรงผม เช่น ผมหยิก ผมหยักศก ผมบาง 28 คน คิดเป็น 8.02% และกังวลเรื่องบุคลิก เช่น มีกลิ่นตัว มีกลิ่นปาก หลังค่อม 21 คน คิดเป็น 6.02%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดจากประเด็นรูปร่าง-หน้าตาของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ กังวลเรื่องรูปร่าง-ส่วนสูง 115 คน คิดเป็น 42.75% กังวลเรื่องหน้าตา ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความสวย/หล่อ 65 คน คิดเป็น 24.16% กังวลเรื่องสีผิว 55 คน คิดเป็น 20.45% ส่วน ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ กังวลเรื่องรูปร่าง-ส่วนสูง 22 คน คิดเป็น 37.29% กังวลเรื่องสีผิว 16 คน คิดเป็น 27.12% กังวลเรื่องหน้าตา ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความสวย/หล่อ 9 คน คิดเป็น 15.25% และ ปวช. 3 อันดับแรกคือ กังวลเรื่องรูปร่าง-ส่วนสูงและกังวลเรื่องหน้าตาเท่ากันที่ 8 คน คิดเป็น 38.10% ตามมาด้วยกังวลเรื่องบุคลิกและสีผิวเท่ากันที่ 2 คน คิดเป็น 9.52%
ผู้ปกครองเข้มงวดเกินไป สร้างความเครียดให้นักเรียนทุกระดับชั้น
เมื่อถามว่า ประเด็นครอบครัวที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอบว่าปกครองเข้มงวดกดดันมากเกินไปมากที่สุด 151 คน คิดเป็น 43.90% รองลงมา ผู้ปกครองไม่สนับสนุนในสิ่งที่เราอยากเป็น/อยากทำ 34 คน คิดเป็น 9.88% ตามด้วยผู้ปกครองทะเลาะ ตบ-ตีกัน 33 คน คิดเป็น 9.59% ผู้ปกครองใช้ความรุนแรงกับนักเรียน 24 คน คิดเป็น 6.98% และผู้ปกครองแยกทางกัน/มีครอบครัวใหม่/นอกใจ 24 คน คิดเป็น 6.98% ตามด้วย ผู้ปกครองละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่น เข้าห้องส่วนตัวโดยไม่ขอ ดูโทรศัพท์ 17 คน คิดเป็น 4.94% ผู้ปกครองไม่สนใจ ไม่มีเวลาให้ 13 คน คิดเป็น 3.78% มีผู้ปกครองเจ็บป่วย หรือพิการ 10 คน คิดเป็น 2.91% ผู้ปกครองเสียชีวิต 7 คน คิดเป็น 2.03% ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนในครอบครัว 3 คน คิดเป็น 0.87% ผู้ปกครองไม่ยอมรับในอัตลักษณ์ทางเพศ 2 คน คิดเป็น 0.58%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดจากครอบครัวของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ ผู้ปกครองเข้มงวด กดดันมากเกินไป 121 คน คิดเป็น 44.65% ผู้ปกครองทะเลาะตบตีกัน 30 คน คิดเป็น 11.07% ผู้ปกครองไม่สนับสนุนสิ่งที่อยากเป็น/อยากทำ 24 คน คิดเป็น 8.86% นักเรียน ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ ผู้ปกครองเข้มงวด กดดันมากเกินไป 22 คน คิดเป็น 40.74% ผู้ปกครองไม่สนับสนุนสิ่งที่อยากเป็น/อยากทำ 8 คน คิดเป็น 14.81% ผู้ปกครองแยกทางกัน มีครอบครัวใหม่/นอกใจ 5 คน คิดเป็น 9.26% นักเรียน ปวช. 3 อันดับแรกคือ ผู้ปกครองเข้มงวด กดดันมากเกินไป 8 คน คิดเป็น 42.11% ผู้ปกครองเลือกปฏิบัติกับลูก รักลูกไม่เท่ากัน 3 คน คิดเป็น 15.79% และผู้ปกครองไม่สนับสนุนสิ่งที่อยากเป็น/อยากทำ, ผู้ปกครองแยกทางกัน มีครอบครัวใหม่/นอกใจ, ผู้ปกครองละเมิดความเป็นส่วนตัว เท่ากันที่ 2 คน คิดเป็น 10.53%
จะเห็นได้ว่านอกจากประเด็นความเครียดจากครอบครัว ที่เกิดจากการที่ผู้ปกครองปฏิบัติต่อตัวนักเรียนแล้ว ความเครียดที่เกิดขึ้นยังมาจากปัญหาของผู้ปกครองเองที่ส่งผลให้ลูกหรือตัวนักเรียนเกิดความเครียดอีกด้วย
ไม่เพียงแค่เงินไม่พอใช้ แต่หนี้สินครอบครัวก็ทำให้เด็กเครียดเหมือนกัน
เมื่อถามว่า ประเด็นการเงินที่เครียดมากที่สุด คืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า เครียดเรื่องเงินไม่พอใช้มากที่สุด 236 คน คิดเป็น 69.21% รองลงมา ครอบครัวมีหนี้สิน 56 คน คิดเป็น 16.42% ตามด้วย ถูกยืมเงินแล้วไม่คืน 25 คน คิดเป็น 7.33% เติมเกมออนไลน์ 16 คน คิดเป็น 4.69% ติดพนันหรือพนันออนไลน์ 4 คน คิดเป็น 1.17% ถูกหลอกโอนเงินหรือถูกโกงเงิน 2 คน คิดเป็น 0.59% และเป็นหนี้นอกระบบ 2 คน คิดเป็น 0.59% และไม่ระบุสาเหตุ 2 คน
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องการเงินของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ เงินไม่พอใช้ 100 คน คิดเป็น 65.79% ครอบครัวมีหนี้สิน 31 คน คิดเป็น 20.39% ติดเกมออนไลน์ 11 คน คิดเป็น 7.24% นักเรียน ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ เงินไม่พอใช้ 105 คน คิดเป็น 76.64% ครอบครัวมีหนี้สิน 14 คน คิดเป็น 10.22% ถูกยืมเงินแล้วไม่คืน 9 คน คิดเป็น 6.57% นักเรียนปวช. 3 อันดับแรกคือ เงินไม่พอใช้ 31 คน คิดเป็น 59.62% ครอบครัวมีหนี้สิน 11 คน คิดเป็น 21.15% ถูกยืมเงินแล้วไม่คืน 9 คน คิดเป็น 13.46%
จะเห็นได้ว่านอกจากปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้ที่เป็นอันดับหนึ่งทั้งในผลสำรวจรวมทุกระดับชั้นและผลสำรวจในแต่ละระดับชั้น อีกหนึ่งปัญหาที่ก่อให้เกิดความเครียดด้านการเงินก็คือปัญหาหนี้สินของครอบครัว ที่พบในอันดับ 2 ของทุกระดับชั้น
Toxic Relationship คือความเครียดด้านความรักที่แม้แต่นักเรียนก็เจอ
เมื่อถามว่า ประเด็นความรักที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า เป็นเรื่องการอกหัก หรือแอบรักข้างเดียวมากที่สุด 77 คน คิดเป็น 35.48% รองลงมา การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ (Toxic Relationship) 50 คน คิดเป็น 23.04% ตามด้วย การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน/เปิดเผยไม่ได้ 36 คน คิดเป็น 16.59% การไม่มีคู่/แฟน 31 คน คิดเป็น 14.29% การถูกคนรักนอกใจ 16 คน คิดเป็น 7.37% การเป็นคนนอกใจ/คุยหลายคน กลัวถูกจับได้ 6 คน คิดเป็น 2.76% การถูกคนรักทำร้ายร่างกาย 1 คน คิดเป็น 0.46%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องความรักของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ อกหัก หรือแอบรักข้างเดียว 65 คน คิดเป็น 39.39% อยู่ในความสัมพันธ์ Toxic Relationship 35 คน คิดเป็น 21.21% ไม่มีคู่/แฟน 24 คน คิดเป็น 14.55% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ อยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน/เปิดเผยไม่ได้ 12 คน คิดเป็น 33.33% อกหัก หรือแอบรักข้างเดียว 11 คน คิดเป็น 30.56% อยู่ในความสัมพันธ์ Toxic Relationship 7 คน คิดเป็น 19.44% ปวช. 3 อันดับแรกคือ อยู่ในความสัมพันธ์ Toxic Relationship 8 คน 50% ถูกคนรักนอกใจ 4 คน คิดเป็น 25% ไม่มีคู่/แฟน 2 คน คิดเป็น 12.50%
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าแม้ปัญหาความเครียดวิตกกังวลในเรื่องความรักจากการอกหัก หรือแอบรักข้างเดียวจะมีมากที่สุด แต่ปัญหาการอยู่ในความสัมพันธ์ Toxic Relationship นั้นกลับพบอยู่ใน 3 อันดับแรกของทุกระดับชั้นการศึกษา
การถูกเพื่อนบูลลี่ยังพบมากในเด็ก ม.ต้น
เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องเพื่อนที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอบว่า เป็นเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกับเพื่อนมากที่สุด 87 คน คิดเป็น 51.18% รองลงมาเป็น ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง บังคับข่มขู่ หรือถูกล้อเลียน และถูกเพื่อนละเลยหรือถูกกีดกันออกจากกลุ่ม เท่ากันที่ 26 คน คิดเป็น 15.29% ตามด้วย รู้สึกด้อยกว่าเพื่อนในเรื่องต่างๆ เช่น ฐานะการเงิน การเรียน รสนิยม รูปร่าง-หน้าตา ยอดผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย 15 คน คิดเป็น 8.82% เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไม่มีเพื่อน 12 คน คิดเป็น 7.06% ขโมยของ ไถเงิน 4 คน คิดเป็น 2.35%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องเพื่อนของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ มีเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกับเพื่อน 62 คน คิดเป็น 47.69% ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง บังคับข่มขู่ หรือถูกล้อเลียน และถูกเพื่อนละเลย หรือถูกกีดกันออกจากกลุ่ม เท่ากันที่ 22 คน คิดเป็น 16.92% รู้สึกด้อยกว่าเพื่อนในเรื่องต่างๆ 14 คน คิดเป็น 16.92% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ มีเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกับเพื่อน 19 คน คิดเป็น 57.58% เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไม่มีเพื่อน, ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง บังคับข่มขู่ หรือถูกล้อเลียน, ถูกเพื่อนละเลย หรือถูกกีดกันออกจากกลุ่ม เท่ากันที่ 4 คน คิดเป็น 12.12% ปวช. มี 2 อันดับคือ มีเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกับเพื่อน 6 คน คิดเป็น 85.71% และเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไม่มีเพื่อน 1 คน คิดเป็น 14.29%
จะเห็นได้ว่านอกจากปัญหาเรื่องขัดแย้ง ทะเลาะกับเพื่อน จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเครียดในวัยเรียนในทุกระดับชั้นแล้ว ปัญหาการถูกบูลลี่ กลั่นแกล้ง บังคับข่มขู่ หรือถูกล้อเลียน ยังเป็นปัญหาที่สร้างความเครียดให้กับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียน ม.ต้น อีกด้วย
นอกจากโรคทางกายแล้ว โรคทางใจยังทำให้เครียดเพิ่มขึ้น
เมื่อถามว่า ประเด็นความเจ็บป่วยที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าเครียดเรื่อง มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวานมากที่สุด 43 คน คิดเป็น 51.81% รองลงมาเป็น ความเจ็บป่วยทางใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค 24 คน คิดเป็น 28.92% แพ้อาหาร 11 คน คิดเป็น 13.25% และมีความพิการทางร่างกาย 5 คน คิดเป็น 6.02 %
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องการเจ็บป่วยของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ มีโรคประจำตัว 38 คน คิดเป็น 54.29% เจ็บป่วยทางใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค 21 คน คิดเป็น 30% แพ้อาหาร 9 คน คิดเป็น 12.86% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ มีโรคประจำตัว 3 คน คิดเป็น 50% แพ้อาหาร 2 คน คิดเป็น 33.33% เจ็บป่วยทางใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค 1 คน คิดเป็น 16.67% ปวช. 3 อันดับแรกคือ มีความพิการทางร่างกาย 3 คน คิดเป็น 42.86% เจ็บป่วยทางใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค และ มีโรคประจำตัว เทากันที่ 2 คน คิดเป็น 28.57%
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการเจ็บป่วยทางใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล แพนิค กลายมาเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นักเรียนเกิดความเครียด วิตกกังวลในการใช้ชีวิตในทุกระดับชั้น
เรื่องสังคม-การเมืองก็ทำให้นักเรียนเครียดได้เหมือนกัน
เมื่อถามว่า ประเด็นสังคมและการเมืองที่เครียดมากที่สุด คืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ มีผู้ตอบว่า รู้สึกไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ และไม่เห็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด 32 คน คิดเป็น 44.44% รองลงมาเป็น การที่ไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี 25 คน คิดเป็น 34.72% ตามด้วย ความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกับคนรอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน แฟน 11 คน คิดเป็น 15.28% และการถูกกดดันให้ต้องเลือกฝั่งทางการเมือง 4 คน คิดเป็น 5.56%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องสังคมการเมืองของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ รู้สึกไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ และไม่เห็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ 23 คน คิดเป็น 42.59% ไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี 18 คน คิดเป็น 33.33% ความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกับคนรอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน แฟน 9 คน คิดเป็น 16.67% ม.ปลาย 3 อันดับแรกเช่นเดียวกับ ม.ต้น คือ รู้สึกไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ และไม่เห็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ 8 คน คิดเป็น 57.14% ไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี 5 คน คิดเป็น 35.71% ความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกับคนรอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน แฟน 1 คน คิดเป็น 7.14% ปวช. 3 อันดับแรกคือ ไม่สามารถแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี 2 คน คิดเป็น 50% ความเห็นทางการเมืองขัดแย้งกับคนรอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อน แฟน และรู้สึกไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ และไม่เห็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เท่ากันที่ 1 คน คิดเป็น 25%
จะเห็นได้ว่านอกจากความรู้สึกไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ และไม่เห็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทางสังคมการเมืองที่ทำให้นักเรียนรู้สึกเครียดมากที่สุดแล้ว เสรีภาพในการแสดงออกในเรื่องการเมืองยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในวัยเรียนอีกด้วย
ทำงานไป เรียนไป ก็เครียดได้นะ
เมื่อถามว่า ประเด็นการทำงานที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า เครียดเรื่องการทำงานผิดพลาดมากที่สุด 20 คน คิดเป็น 39.22% รองลงมาเป็น ความกังวลว่าการทำงานส่งผลกระทบกับการเรียน 13 คน คิดเป็น 25.49% อยู่ในภาวะหมดไฟ อยากลาออก 6 คน คิดเป็น 11.76% ตามด้วย เรื่องชั่วโมงการทำงานมากเกินไป หรือต้องทำงานภายใต้แรงกดดันมากเกินไป หรือถูกกดค่าจ้าง ไม่ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม 3 คน คิดเป็น 5.88% การถูกดุด่าด้วยคำพูดรุนแรงจากที่ทำงาน 2 คน คิดเป็น 3.92% และสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ดี เช่น สกปรก มลภาวะ อุณหภูมิ กลิ่น เสียง 1 คน คิดเป็น 1.96%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องการทำงานของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ ทำงานผิดพลาด 15 คน คิดเป็น 48.39% การทำงานส่งผลกระทบกับการเรียน 7 คน คิดเป็น 22.58% ชั่วโมงการทำงานมากเกินไป 3 คน คิดเป็น 9.68% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ การทำงานส่งผลกระทบกับการเรียน 4 คน คิดเป็น 40% ทำงานผิดพลาด 3 คน คิดเป็น 30% อยู่ในภาวะหมดไฟ อยากลาออก 2 คน คิดเป็น 20% ปวช. 3 อันดับแรก คือ ถูกกดค่าจ้าง ไม่ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และอยู่ในภาวะหมดไฟ อยากลาออก เท่ากันที่ 3 คน คิดเป็น 30% และการทำงานส่งผลกระทบกับการเรียน, ทำงานผิดพลาด เท่ากันที่ 2 คน คิดเป็น 20%
จากข้อมูลในประเด็นนี้จะเห็นได้ว่ายังมีนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเครียด วิตกกังวล อันเกิดมาจากการที่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจก่อนหน้านี้ที่พบว่ามีนักเรียนถึง 19.41% ที่ต้องทำงานพิเศษ (https://rocketmedialab.co/student-q3-2024/)
ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่ครูก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องครูที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ พบว่า นักเรียนเครียดเรื่องการที่ถูกครูใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ เช่น ดุด่า คำหยาบ เหยียดรูปร่าง-หน้าตา-เพศ-สติปัญญามากที่สุด 24 คน คิดเป็น 61.54% รองลงมาเป็นถูกครูเลือกปฏิบัติ 6 คน คิดเป็น 15.38% ตามด้วยการถูกครูลงโทษเกินกว่าเหตุ เช่น ตัดผม บังคับวิ่งรอบสนาม ประจาน 5 คน คิดเป็น 12.82% และการถูกครูข่มขู่ ใช้ความรุนแรง เช่น หยิก ตี ทุบ ตบ ไถเงิน และถูกครูใช้ให้ทำงานส่วนตัว เท่ากันที่ประเด็นละ 2 คน คิดเป็น 5.13% และไม่ระบุสาเหตุอีก 4 คน
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องครูของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรกคือ ถูกครูใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ 24 คน คิดเป็น 66.67% ถูกครูลงโทษเกินกว่าเหตุ 5 คน คิดเป็น 13.89% ถูกครูเลือกปฏิบัติ 4 คน คิดเป็น 11.11% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ ถูกครูเลือกปฏิบัติ 2 คน คิดเป็น 66.67% ถูกครูใช้ให้ทำงานส่วนตัว 1 คน คิดเป็น 33% และพบว่านักเรียนในระดับชั้น ปวช. ไม่มีใครเลือกตอบในข้อนี้
เพศสัมพันธ์อีกหนึ่งปัญหาสร้างความเครียดให้วัยเรียน
เมื่อถามว่า ประเด็นเพศสัมพันธ์ที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ มีนักเรียนที่ตอบว่ากังวลเรื่องตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมมากที่สุด 8 คน คิดเป็น 36.36% รองลงมาเป็นกังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และกังวลว่าเพศสัมพันธ์จะไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่ เท่ากันที่ 5 คน คิดเป็น 22.73% ตามด้วยการถูกคุกคามทางเพศ เช่น โดนสัมผัสตัวโดยไม่ยินยอม ใช้คำพูดคุกคาม 2 คน คิดเป็น 9.09% การถูกข่มขู่หรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม และรู้สึกไม่มีความสุขจากเพศสัมพันธ์อย่างที่ต้องการเท่ากันที่ 1 คน คิดเป็น 4.55%
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ม.ต้น ซึ่งตอบว่ากังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, กังวลว่าเพศสัมพันธ์จะไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่, ถูกข่มขู่หรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม และถูกคุกคามทางเพศ เท่ากันที่ข้อละ 1 คน คิดเป็น 25% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ กังวลเรื่องตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม 5 คน คิดเป็น 62.50% กังวลว่าเพศสัมพันธ์จะไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่ 2 คน คิดเป็น 25% รู้สึกไม่มีความสุขจากเพศสัมพันธ์อย่างที่ต้องการเท่ากันที่ 1 คน คิดเป็น 12.50% ปวช. 3 อันดับแรกคือ กังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 4 คน คิดเป็น 40% กังวลเรื่องตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม 3 คน คิดเป็น 30% กังวลว่าเพศสัมพันธ์จะไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่ 2 คน คิดเป็น 20%
สิ่งที่น่าสนใจจากข้อมูลในการตอบข้อนี้ก็คือ แม้ว่าเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องใหญ่ที่วัยเรียนรู้สึกเครียดและวิตกกังวล แต่นอกจากนั้นกลับพบความเครียดวิตกกังวลในเรื่องเพศสัมพันธ์ในประเด็นถูกข่มขู่หรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม และการถูกคุกคามทางเพศจากคำตอบของนักเรียนในระดับชั้น ม.ต้น ด้วย
อัตลักษณ์ทางเพศอีกหนึ่งประเด็นที่ก่อให้เกิดความเครียดในยุคปัจจุบัน
เมื่อถามว่า ประเด็นเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศที่เครียดมากที่สุดคืออะไร โดยให้เลือกได้เพียง 1 ข้อ พบว่า มีนักเรียนกังวลกับสรีระที่ไม่ตรงตามเพศที่อยากเป็น เช่น หน้าอก หนวด และการไม่สามารถแสดงออกตามเพศที่เราอยากเป็นมากที่สุด โดยได้เท่ากันที่ประเด็นละ 3 คน คิดเป็น 25.00% ตามด้วยประเด็นเรื่องเพศที่อยากเป็น ขัดกับหลักศาสนาที่นับถือ และรู้สึกสับสนกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง เท่ากันที่ประเด็นละ 2 คน คิดเป็น 16.67% และกังวลเรื่องการใช้ฮอร์โมนเพื่อข้ามเพศ และการไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครอง เท่ากันที่ประเด็นละ 1 คน คิดเป็น 8.33% และไม่ระบุสาเหตุ 1 คน
หากพิจารณาจากระดับชั้นการศึกษาพบว่าความเครียดเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของนักเรียน ม.ต้น 3 อันดับแรก คือ กังวลกับสรีระที่ไม่ตรงตามเพศที่อยากเป็น เพศที่อยากเป็น ขัดกับหลักศาสนาที่นับถือ รู้สึกสับสนกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง เท่ากันที่ประเด็นละ 2 คน คิดเป็น 25% ตามมาด้วย ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองและไม่สามารถแสดงออกตามเพศที่เราอยากเป็น เท่ากันที่ประเด็นละ 1 คน คิดเป็น 12.50% ม.ปลาย 3 อันดับแรกคือ กังวลกับสรีระที่ไม่ตรงตามเพศที่อยากเป็น, กังวลเรื่องการใช้ฮอร์โมนเพื่อข้ามเพศ และไม่สามารถแสดงออกตามเพศที่เราอยากเป็นได้ เท่ากันที่ประเด็นละ 1 คน คิดเป็น 33.33% ปวช. มี 1 ประเด็นคือ ไม่สามารถแสดงออกตามเพศที่เราอยากเป็นได้ 1 คน
จากข้อมูลจะพบว่าผู้ที่ตอบว่าเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศทำให้เกิดความเครียดวิตกกังวล 13 คน เป็นเพศ LGBTQ+ 8 คน หญิง 2 คน ไม่ต้องการระบุเพศ 2 คน และชาย 1 คน
ที่ว่าเครียด เครียดแค่ไหน และแก้ปัญหาอย่างไร
จากนั้นเมื่อถามว่าความเครียด วิตกกังวลในเรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามตอบไปนั้นส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันแค่ไหน โดยเลือกได้เพียง 1 ข้อ พบว่านักเรียนตอบว่าไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากที่สุด 1,919 คน คิดเป็น 54.58% รองลงมาเป็นผลกระทบกับอารมณ์ เช่น วิตกกังวล กลัว เศร้า ไม่อยากเข้าสังคม 807 คน คิดเป็น 22.95% ผลกระทบกับร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ, เครียดลงกระเพาะ 529 คน คิดเป็น 15.05% ตามด้วยมีความคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว หรือคิดอยากฆ่าตัวตาย 185 คน คิดเป็น 5.26% เคยลงมือทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น 41 คน คิดเป็น 1.17% และมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น 35 คน คิดเป็น 1 %
จากนั้นเมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าความเครียดด้านครอบครัวเป็นประเด็นที่ส่งผลให้นักเรียนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย 74 คน เคยลงมือทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น 18 คน มีความคิดอยากทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น 12 คน
ในขณะที่ความเครียดที่ส่งผลกระทบในระดับอารมณ์ของนักเรียน เช่น วิตกกังวล กลัว เศร้า ไม่อยากเข้าสังคม พบว่ามาจากประเด็นเรื่องการเรียน 355 คน คิดเป็น 43.99% รูปร่าง หน้าตา บุคลิก 109 คน คิดเป็น 13.51% และครอบครัว 104 คน คิดเป็น 12.89%
ส่วนความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ เครียดลงกระเพาะพบว่ามาจากประเด็นเรื่องการเรียน 330 คน คิดเป็น 62.38% การเงิน 53 คน คิดเป็น 10.02% และครอบครัว 39 คน คิดเป็น 7.37%
จากนั้นเมื่อถามว่าคุณจัดการกับความเครียด หรือมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร โดยเลือกได้มากกว่า 1 ข้อ พบว่านักเรียนตอบว่า หากิจกรรมทำเพื่อคลายเครียดมากที่สุด 2,283 คน คิดเป็น 42.37% รองลงมาเป็น ปรึกษาเพื่อน 1,082 คน คิดเป็น 20.08% ตามด้วย ไม่ทำอะไรเลย 697 คน คิดเป็น 12.94% ปรึกษาผู้ปกครอง 633 คน คิดเป็น 11.75% ปรึกษาแฟน 291 คน คิดเป็น 5.40% ปรึกษาครู 225 คน คิดเป็น 4.18% ปรึกษาคนในโซเชียลมีเดีย 95 คน คิดเป็น 1.76% ปรึกษานักจิตวิทยา/แพทย์ ที่สถานพยาบาล 57 คน คิดเป็น 1.06% ปรึกษาองค์กรให้คำปรึกษาทางออนไลน์-สายด่วน 25 คน คิดเป็น 0.46%
โดยในจำนวนนักเรียนที่ปรึกษานักจิตวิทยา/แพทย์ 57 คน มีนักเรียนที่เครียดจากการเรียนมากที่สุด 21 คน รองลงมาเป็นความเจ็บป่วย 11 คน ตามด้วยเรื่องการเงิน ครอบครัว และรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิกเท่ากันที่ 5 คน ความรัก 3 คน ตามด้วยเพศสัมพันธ์และเพื่อนเท่ากัน 2 คน สังคมการเมืองและครู เท่ากัน 1 คน
และสุดท้ายเมื่อถามว่าคุณอยากได้การสนับสนุน หรือความช่วยเหลือ ในรูปแบบใดเพิ่มเติม เพื่อช่วยจัดการกับความเครียด โดยเลือกได้มากกว่า 1 ข้อ พบว่านักเรียนตอบว่าไม่ต้องการมากที่สุด 1,705 คน คิดเป็น 36.76% รองลงมาเป็น การมีครูแนะแนวที่ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง 1,063 คน คิดเป็น 22.92% ตามด้วย มีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน 610 คน คิดเป็น 13.15% การมีช่องทางให้คำปรึกษาในรูปแบบออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญ 590 คน คิดเป็น 12.72% การที่สามารถเข้าถึงนักจิตวิทยาในสถานพยาบาลได้โดยง่าย 307 คน คิดเป็น 6.62% การมีสายด่วนให้คำปรึกษา 24 ชั่วโมง 296 คน คิดเป็น 6.38% และอื่นๆ เช่น คุยกับแฟน ผู้ปกครอง พ่อแม่ที่ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง, หากิจกรรมทําเพื่อแก้เครียด เล่นกีฬา 67 คน คิดเป็น 1.44%
บทสรุปสุขภาพจิตของเด็กไทย
จากแบบสำรวจในครั้งนี้ แม้จะพบว่าเรื่องการเรียนเป็นประเด็นที่ทำให้เด็กนักเรียนเกิดความเครียด วิตกกังวลมากที่สุด เนื่องด้วยเพราะเป็นสิ่งที่ในวัยนี้ต้องรับผิดชอบ แต่ก็พบว่ามีเพียง 51.45% หรือประมาณเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่อีกกึ่งหนึ่งนั้นมาจากสภาพสังคมโดยรอบที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการใช้ชีวิตของคนวัยเรียนด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรื่องรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก, ครอบครัว, การเงิน, ความรัก, เพื่อน ไปจนถึงเรื่องสังคมการเมือง ที่มีผู้ตอบมากกว่าประเด็นเรื่องครู การทำงาน หรือเพศสัมพันธ์เสียอีก
และถึงแม้ว่าความเครียดวิตกกังวลส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากที่สุด คิดเป็น 54.58% แต่ก็พบว่านักเรียในวัยมัธยมทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย และปวช. นั้นประสบปัญหาความเครียด วิตกกังวลจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และการใช้ชีวิตเกือบกึ่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะ ผู้ที่ตอบแบบสอบถามว่าความเครียด วิตกกังวลที่เกิดขึ้นส่งผลจนอยากจะฆ่าตัวตาย, เคยลงมือทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น หรือมีความคิดอยากทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งมีสูงถึง 7.43% และกลับพบว่ามาจากสาเหตุเรื่อง ‘ครอบครัว’ เป็นหลัก
นอกจากนั้นยังพบว่า เด็กในวัยเรียนที่มีความเครียดวิตกกังวลส่วนใหญ่ที่อยากได้การสนับสนุน หรือความช่วยเหลือเพื่อช่วยจัดการกับความเครียดตั้งแต่ครูแนะแนวที่สามารถให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง, นักจิตวิทยาประจำโรงเรียน, ช่องทางให้คำปรึกษาในรูปแบบออนไลน์จากผู้เชี่ยวชาญ, การเข้าถึงนักจิตวิทยาในสถานพยาบาลได้โดยง่าย ไปจนถึงสายด่วนให้คำปรึกษา 24 ชั่วโมง ซึ่งจะพบว่าในปัจจุบันแม้จะมีระบบการใช้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพจิตในรูปแบบเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงทั้งในด้านปริมาณ การเข้าถึงได้โดยง่าย สะดวกและรวดเร็ว
ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/database-student-q4-2024/
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ