งานวิจัยสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ม.มหิดล สะท้อนความเสี่ยงด้านสุขภาพและพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถสาธารณะสูงวัย พบกว่า 42% เป็นโรคเรื้อรังต้องพึ่งยา ขณะที่ 52% มีประสาทสัมผัสต่ำกว่าเกณฑ์ ชี้จำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน | ภาพประกอบสร้างจากเทคโนโลยี AI โดย Claude
20 พ.ย. 2567 มหาวิทยาลัยมหิดล โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อรพินท์ เล่าซี้ อาจารย์ประจำกลุ่มสาขาวิชาพัฒนาระบบสุขภาพ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ได้เปิดเผยผลการวิจัยด้านความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Safety) ที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนมิตซุย ซูมิโตโม (Mitsui Sumitomo) ประเทศญี่ปุ่น โดยผลงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ "Journal of Applied Gerontology"
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาพฤติกรรมการขับขี่ของกลุ่มแรงงานผู้สูงวัยในวิชาชีพรับจ้างขับรถยนต์สาธารณะ โดยได้ทำการประเมินสมรรถนะผู้ขับขี่จำนวน 300 ราย จาก 15 จุดนัดพบสำคัญในเขตกรุงเทพฯ และชานเมือง ครอบคลุมทั้งด้านสภาพร่างกาย ทักษะการขับขี่ การใช้ความระมัดระวัง และปฏิภาณไหวพริบในการใช้รถใช้ถนน
ผลการวิจัยพบข้อมูลที่น่าตกใจหลายประการ:
- ร้อยละ 75 ของผู้ขับขี่มีน้ำหนักเกินและเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs
- ร้อยละ 42 เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องพึ่งพายา
- ร้อยละ 52 มีประสาทสัมผัสต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ไม่เหมาะสมต่อการให้บริการ
- ร้อยละ 30 เคยประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในรอบปีที่ผ่านมา
- ร้อยละ 46 มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุสำคัญของปัญหาสุขภาพมาจากการใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ ทำให้ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากนี้ ยังพบปัญหาด้านพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ความจำเสื่อมถอย การขาดความตระหนักในการเคารพกฎจราจร การไม่คำนึงถึงสภาพอากาศ และพฤติกรรมดื่มแล้วขับ ซึ่งทางผู้วิจัยได้นำประเด็นนี้ไปขยายผลร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อผลักดันเชิงนโยบายต่อไป
รศ.ดร.อรพินท์ เน้นย้ำว่า ความปลอดภัยบนท้องถนนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพรถเพียงอย่างเดียว แต่สภาพความพร้อมของผู้ขับขี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน และต้องปลูกฝังเรื่องวินัยและความรับผิดชอบต่อสังคมตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ