ก.พลังงาน แจงแผน PDP 2024 เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท
สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2567 ว่านายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ที่นักลงทุนกังวลต่อร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ (PDP 2024) ว่าจะลดความสำคัญของโรงไฟฟ้าหลักฟอสซิลนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภาพรวมกิจกรรมการลงทุนในแผน PDP กระทรวงพลังงานเน้นให้เกิดการเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่สามารถรักษาระดับราคาค่าไฟฟ้าที่มีความเหมาะสมและมีเสถียรภาพในระยะยาว โดยค่าไฟฟ้าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นยังช่วยให้ค่าไฟฟ้าของไทยมีราคาคงที่ไม่ผันผวนตามราคาเชื้อเพลิงตลาดโลก นอกจากนี้ ตามแผนกำหนดโอกาสการเกิดไฟฟ้าดับ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ “LOLE” หรือดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ โดยมีมาตรฐานว่าไฟฟ้าจะดับได้ไม่เกิน 0.7 วันต่อปี
ทั้งนี้ ตามแผน PDP ฉบับใหม่ มีการลงทุนของโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพันไว้แล้วและที่จะเปิดรับเพิ่มเติมตามแผนในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2573 มากกว่า 650,000 ล้านบาท ประกอบด้วย พลังงานหมุนเวียนประมาณ 13,300 MW คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 525,000 ล้านบาท และการลงทุนโรงไฟฟ้าฟอสซิลประมาณ 5,300 MW คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 125,000 ล้านบาท รวมทั้งการเข้ามาของ RE ที่มากขึ้นจะนำไปสู่โครงสร้างระบบไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์และธุรกิจไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่จะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับได้ ซึ่งก็จะมีอีกแผนคือแผนสมาร์ทกริดที่จะมารองรับการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยมีแผนงานที่คิดเป็นเงินลงทุนตลิดทั้งแผนอีกประมาณกว่า 400,000 ล้านบาท
“แม้ค่าไฟฟ้าไม่ได้สูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้กิจกรรมการลงทุนในภาคไฟฟ้าลดลงแต่อย่างใด เพราะมีการเพิ่มสัดส่วนการก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีมูลค่าสูงกว่ากิจกรรมการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิล ภาพรวมจะมีการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ ยืนยันแผนไฟฟ้าใหม่ ตอบโจทย์เรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นไปตามทิศทางของโลกที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายการลดคาร์บอนในระหว่างการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) โดยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทาง คาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ.2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ.2608
สำหรับบทบาทของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ยังคงมีความสำคัญในฐานะระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Distributed Generation :DG) ที่จะช่วยเสริมความมั่นคง ลดภาระการลงทุนในระบบไฟฟ้า และทำให้การใช้พลังงานในระบบไฟฟ้ามีประสิทธิภาพ โดยในอนาคตภาครัฐก็ยังคงมีแนวทางในการส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบกระจายศูนย์ต่อไป พร้อมกับการส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าไมโครกริดจากพลังงานหมุนเวียน กลไกการรับซื้อพลังงานสีเขียว การรับซื้อไฟฟ้าแบบ Direct PPA การส่งเสริมเทคโนโลยีทางเลือกใหม่ๆ เป็นต้น
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ