วิกฤตภูมิอากาศกระทบผลผลิตเมล็ดกาแฟโลก ราคาทุบสถิติรอบ 47 ปี

กองบรรณาธิการ TCIJ 4 ม.ค. 2568 | อ่านแล้ว 629 ครั้ง

วิกฤตภูมิอากาศกระทบผลผลิตเมล็ดกาแฟโลก ราคาทุบสถิติรอบ 47 ปี

สถานการณ์โลกร้อนส่งผลกระทบรุนแรงต่อการผลิตกาแฟทั่วโลก ทำให้ราคาเมล็ดกาแฟอาราบิก้าพุ่งสูงสุดในรอบ 47 ปี ขณะที่ผู้ผลิตเตรียมปรับราคาเพิ่มอีกรอบ เหตุอุปทานไม่พอรับความต้องการ ด้านผู้เชี่ยวชาญเตือนวิกฤตลามถึงพืชผลชนิดอื่น แนะเร่งลงทุนวิจัยรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2024 สำนักข่าว NBC รายงานว่า สภาพอากาศแปรปรวนทั่วโลกส่งผลกระทบรุนแรงต่อการผลิตเมล็ดกาแฟอาราบิก้า คุณภาพสูงที่นิยมใช้ในร้านกาแฟและร้านอาหารทั่วไป ทำให้ราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 47 ปี โดยล่าสุดราคาอยู่ที่ปอนด์ละ 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 70% ในปีนี้ ซึ่งหากเทียบกับราคาในปี 1977 ที่เคยเกิดวิกฤตต้นกาแฟตายนับพันล้านต้นจากน้ำค้างแข็ง ราคา 3.50 ดอลลาร์ในปัจจุบันจะเทียบเท่ากับ 66 เซนต์ในสมัยนั้น

ดร.เดวิด ออร์เทกา (David Ortega) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์อาหารและนโยบายจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตท ผู้เชี่ยวชาญด้านห่วงโซ่อุปทานและการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบจากเกษตรกรสู่ร้านค้า เปิดเผยว่า ภัยแล้งรุนแรงในประเทศผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่อย่างบราซิล ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก และเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ใช้ในกาแฟสำเร็จรูป รวมถึงปัญหาน้ำค้างแข็ง น้ำท่วม อากาศร้อนจัด และสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นางแจ็คกี้ นิวแมน (Jackie Newman) รองประธานบริษัท World of Coffee Inc. ธุรกิจครอบครัวที่แปรรูปเมล็ดกาแฟดิบและบรรจุภัณฑ์สำหรับแบรนด์ส่วนตัว ธุรกิจบริการอาหาร และร้านกาแฟ กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคากาแฟในตลาดเพิ่มขึ้นและผันผวน อุปทานลดลงในขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้น" พร้อมคาดการณ์ว่าราคากาแฟอาจเพิ่มขึ้นอีก 50 เซนต์ถึง 1 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในเร็วๆ นี้

"เราจะพยายามรักษาความเป็นธรรมให้มากที่สุดและแบกรับต้นทุนไว้เท่าที่จะทำได้ เพราะเข้าใจว่าผู้คนยังต้องการดื่มกาแฟในตอนเช้า" นิวแมน กล่าว "แต่เราก็ต้องคำนึงถึงต้นทุนทั้งหมดด้วย ไม่ใช่แค่ราคากาแฟที่เพิ่มขึ้น แต่รวมถึงต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์และค่าแรงที่สูงขึ้นด้วย"

ผลกระทบนี้ส่งผลต่อทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกรที่ผลิตได้น้อยลง ผู้ขายเมล็ดกาแฟดิบที่มีสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่สูงขึ้น ผู้คั่วกาแฟที่ต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้นแต่ยังต้องรักษาคำสั่งซื้อของลูกค้า ไปจนถึงผู้บริโภคที่ต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับกาแฟแต่ละถ้วย โดยนิวแมนสรุปว่า "ขณะนี้เราไม่มีกาแฟเพียงพอสำหรับความต้องการของตลาด"

ดร.ออร์เทกายังเตือนว่าวิกฤตการณ์คล้ายกันนี้อาจเกิดขึ้นกับพืชผลทางการเกษตรชนิดอื่นด้วย โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมในยุโรปที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาควาเลนเซียของสเปน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตส้มที่สำคัญ และภัยแล้งครั้งใหญ่เมื่อสองปีก่อนในพื้นที่ภาคตะวันตกของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย ที่ส่งผลให้ราคาผักและการผลิตเนื้อวัวได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งผู้บริโภคยังคงรู้สึกถึงผลกระทบด้านราคาเนื้อวัวจนถึงปัจจุบัน

"เราจะเห็นเหตุการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในอนาคต ดังนั้นเราต้องเริ่มจริงจังกับปัญหานี้และลงทุนในการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร เพื่อบรรเทาและรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการผลิตและระบบการเกษตรของเรา" ดร.ออร์เทกา กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: