ก.ล.ต. เผยปี 2567 ดำเนินคดีอาญา 15 คดี แพ่ง 10 คดี นำส่งคลัง 696 ล้านบาท

กองบรรณาธิการ TCIJ 24 ม.ค. 2568 | อ่านแล้ว 1002 ครั้ง

ก.ล.ต. เผยปี 2567 ดำเนินคดีอาญา 15 คดี แพ่ง 10 คดี นำส่งคลัง 696 ล้านบาท

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยผลดำเนินงานปี 2567 ทำ 73 โครงการ ดำเนินคดีอาญา 15 คดี แพ่ง 10 คดี นำส่งคลัง 696 ล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อนตลาดทุน หนุนศักยภาพผู้ลงทุน

ช่วงเดือน ม.ค. 2568 นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผลการดำเนินงานที่สำคัญของ ก.ล.ต. ในปี 2567 ว่า ในปีก่อน ก.ล.ต ได้มีโครงการและมาตรการสำคัญที่ดำเนินการแล้ว รวม 73 โครงการ และเดินหน้าต่อเนื่อง 12 โครงการ ใน 4 ด้าน แบ่งเป็น

ด้านที่ 1 ทำให้ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือ (Trust and Confidence) แบ่งเป็น

1.1 จัดทำโครงการผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง
โดย ก.ล.ต. ส่งเสริมบทบาทความรับผิดชอบให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (Line of defense) พร้อมกับการยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeeper) และส่งเสริม Investor empowerment เพื่อให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้ รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับภัยหลอกลวงลงทุน

1.2 ยกระดับคุณภาพตราสารหนี้
ซึ่ง ก.ล.ต. ได้เน้นไปที่ การเปิดเผยข้อมูล เพื่อยกระดับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้เข้มงวดมากขึ้นและปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเพิ่มขึ้น รวมไปถึงหาแนวทางการจัดการตราสารหนี้เสี่ยง (Playbook) ด้วยการกำหนดลักษณะของผู้ออกหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องติดตาม พร้อมกับยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (Gatekeeper) ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยปรับปรุงแนวปฏิบัติและร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) จัดทำตัวอย่างสัญญาแต่งตั้งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และ Credit Rating Agency

1.3 ออกมาตรการดูแล Short Selling (SS) และ Program Trading (PT)
โดย ก.ล.ต. ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สร้างความเป็นธรรมในธุรกรรม SS/PT เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างตลาดทุนโปร่งใส ซึ่งมีแนวทาง เน้นไปที่ 2 มาตรการ ที่เห็นว่าเหมาะสม ได้แก่ มาตรการกำกับดูแลธุรกรรม Short Selling และ มาตรการกำกับดูแล Program Trading

1.4 การใช้เทคโนโลยีในการกำกับดูแล (SupTech) โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการกำกับดูแล เพื่อยกระดับการกำกับดูแล เพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ และเท่าทันต่อความเสี่ยงและร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบ Health Check เพื่อตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงเรื่องทุจริต/การตกแต่งงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน ที่มีการเปิดใช้เมื่อเดือน มี.ค. 2567

1.5 เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย
โดยในปี 2567 ก.ล.ต. ได้ดำเนินการกล่าวโทษ 15 คดี เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่กล่าวโทษ 8 คดี และดำเนินการมาตรการลงโทษทางแพ่ง 10 คดี โดยค่าปรับทางแพ่งและชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ฯ ที่นำส่งกระทรวงการคลัง 696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่ดำเนินการไป 7 คดี ค่าปรับทางแพ่งและชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ฯ ที่นำส่งกระทรวงการคลัง 103 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น 15%

ด้านที่ 2 ทำให้ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Technology) แบ่งเป็นการทำ

2.1 โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล (Digital Infrastructure : DIF) ในส่วน web portal เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่น filing ของตราสารหนี้
2.2 ผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อรองรับการแปลงสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัล (Tokenized securities)
2.3 ปรับแบบฟอร์มมาตรฐานในการเปิดบัญชีลงทุน (single form) ให้รองรับการเคลื่อนย้ายหรือส่งต่อข้อมูล (Data portability)
2.4 ส่งเสริมการระดมทุนผ่านโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment token) ที่หลากหลาย เพื่อเป็นช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการและสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล และยกระดับการกำกับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

ด้านที่ 3 ทำให้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน (Sustainable Capital Markey) โดยในด้านนี้ ก.ล.ต. ได้เน้นไปที่การทำ

3.1 จัดทำศูนย์รวมข้อมูลตราสารหนี้และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ESG Product platform) เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่มความยั่งยืนได้อย่างครบวงจร โดยมีข้อมูลทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
3.2 สร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในแบบ 56-1 One Report ให้สอดรับกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน (HRDD) และขับเคลื่อน (SDG driver) เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
3.3 ส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจในการผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการวิเคราะห์หลักทรัพย์ การให้คำแนะนำการลงทุนและการบริหารจัดการลงทุน เพื่อนำไปปฏิบัติจริง (ESG in practice)

และด้านที่ 4 ผลักดันผู้ลงทุนให้มีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี (Financial well-being/Long-term investment) ด้วยการ

4.1 ออกประกาศรองรับเงื่อนไขใหม่ของกองทุน Thai ESG โดยขยายขอบเขตการลงทุนและส่งเสริมบทบาท บลจ. ในการใช้ fiduciary duty เพื่อการลงทุนอย่างรับผิดชอบ
4.2 ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนรวม Exchange Traded Fund (ETF) ให้เทียบเคียงกับสากล เพื่อให้มีความหลากหลายและรองรับความต้องการของผู้ลงทุน
4.3 ปรับปรุง พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลกองทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน
4.4 ส่งเสริมการขยายฐานนายจ้างและสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรองรับการเกษียณและการเตรียมการรองรับการออมภาคบังคับ
4.5 เสริมสร้างความรู้ให้ผู้ลงทุนในช่วงวัยต่าง ๆ ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตนเอง เข้าใจความเสี่ยง ผลตอบแทน กระจายการลงทุน รู้จักสิทธิ และดูแลตัวเองได้ ไม่ถูกหลอกลงทุน

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: