Rocket Media Lab: ปี 2024 มีวันอากาศดีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่รัฐบาลยังไม่บรรลุเป้าหมายแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5

กองบรรณาธิการ TCIJ 22 ม.ค. 2568 | อ่านแล้ว 380 ครั้ง

  • ในปี 2024 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีวันที่อากาศดี คืออยู่ในเกณฑ์สีเขียว 43 วัน คิดเป็น 11.81% เพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2023 ที่มีวันที่อากาศดีเพียง 31 วัน และในปี 2024 ส่วนใหญ่นั้นเป็นวันที่อากาศมีคุณภาพปานกลาง คือเกณฑ์สีเหลือง 252 วัน หรือคิดเป็น 69.23% ของทั้งปี และหากเทียบกับปี 2023 ที่มีอากาศในเกณฑ์สีเหลือง 241 วันแล้วก็นับว่าเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน
  • ในปี 2024 ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ สูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ ทั้งหมด 1,297.14 มวน ลดลงจากปี 2023 ที่มีจำนวน 1,370.09 มวน ถึง 81.95 มวน หรือคิดเป็น 4.09 ซอง แต่ก็ยังมากกว่าปี 2022 ที่มีจำนวน 1,224.77 มวน และปี 2021 ที่มีจำนวน 1,261.05 มวน 
  • ในเดือนธันวาคม 2023 ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ออกมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2024 โดยกำหนดเป้าหมายเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในปี 2024 โดยเฉพาะการลดพื้นที่เผาใน 17 จังหวัดภาคเหนือลง 50% จากข้อมูลพื้นที่เผาของ GISTDA ในปี 2024 พบว่ามาตรการในปี 2024 นั้นไม่บรรลุผล

 

Rocket Media Lab ชวนสำรวจภาพรวมสภาพอากาศของกรุงเทพฯ ในปี 2024 ว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นอย่างไร การแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ในระดับชาติเกิดขึ้นได้จริงไหม 

กรุงเทพฯ และสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในปี 2024

จากการทำงานของ Rocket Media Lab โดยอ้างอิงข้อมูลสถิติจากเว็บไซต์ The World Air Quality Index Project พบว่า ในปี 2024 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีวันที่อากาศดี คืออยู่เกณฑ์สีเขียว 43 วัน คิดเป็น 11.81% เพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2023 ที่มีวันที่อากาศดีเพียง 31 วัน และในปี 2024 ส่วนใหญ่นั้นเป็นวันที่อากาศมีคุณภาพปานกลาง คือเกณฑ์สีเหลือง 252 วัน หรือคิดเป็น 69.23% ของทั้งปี และหากเทียบกับปี 2023 ที่มีอากาศในเกณฑ์สีเหลือง 241 วันแล้วก็นับว่าเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน ส่วนวันที่มีคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพต่อกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษหรือสีส้มนั้นมีเพียง 61 วัน หรือคิดเป็น 16.76% ของทั้งปี ลดลงจากปี 2023 ที่มีจำนวน 78 วัน และวันที่มีอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรืออยู่ในเกณฑ์สีแดงนั้นมี 8 วัน หรือคิดเป็น 2.20% ของทั้งปี และเมื่อเทียบกับปี 2023 ที่มีมากถึง 14 วัน กล่าวคือวันที่มีอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรืออยู่ในเกณฑ์สีแดงนั้นลดลงจากเดิมถึง 6 วัน

โดยภาพรวมแล้วอากาศในปี 2024 มีวันที่อากาศดีเพิ่มขึ้น วันที่อากาศมีคุณภาพปานกลางก็เพิ่มขึ้น ส่วนวันที่มีคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพต่อกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษหรือสีส้มนั้นลดลง และวันที่มีอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพก็ยังลดลงอีกด้วย

3 เดือนที่อากาศเลวร้ายที่สุดในปี 2024: เดือนมีนาคมตกอันดับ เดือนมกราคมขึ้นมาแทนที่ วันที่อากาศแย่ที่สุดคือวันวาเลนไทน์

ในปี 2023 เดือนที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดเป็นเดือนมีนาคม ทว่าในปี 2024 เดือนที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดคือเดือนมกราคม โดยมีค่าเฉลี่ยอากาศทั้งเดือนอยู่ที่ 119.87 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปี 2023 ที่มีค่าเฉลี่ย 113.45 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเดือนมกราคม 2024 ไม่มีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดีเลย สำหรับวันที่มีสีเหลืองหรือคุณภาพอากาศปานกลางพบว่ามี 8 วัน ส่วนสีส้มหรือคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพต่อกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษ 19 วัน และสีแดง หรือมีผลต่อสุขภาพ 4 วัน

รองลงมาคือเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยค่าเฉลี่ยอากาศ 99.52 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยไม่มีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดีเลย ขณะที่มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง คุณภาพอากาศปานกลาง 19 วัน และสีส้ม คุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพต่อกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษ 6 วัน และสีแดง หรือมีผลต่อสุขภาพ 4 วัน

ตามมาด้วยเดือนธันวาคม ด้วยค่าเฉลี่ยอากาศที่ 99.31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งก็ไม่มีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดีเลยเช่นเดียวกัน ขณะที่มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง คุณภาพอากาศปานกลาง 15 วัน และสีส้ม คุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพต่อกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษ 14 วัน แต่ไม่พบวันที่มีสีแดง หรือวันที่มีผลต่อสุขภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏข้อมูลวันที่ 30 และ 31 ธันวาคม จึงไม่ได้นำมาคำนวณด้วย แต่แม้ข้อมูลจะขาดหายไปสองวัน แต่ค่าเฉลี่ยของเดือนธันวาคมก็ยังสูงจนติดอันดับสามของปี 

หากสำรวจวันที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดของปี พบว่าเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์ โดยมีค่าฝุ่นเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 165 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าสามเดือนที่อากาศเลวร้ายที่สุดในปี 2024 เป็นเดือนในช่วงต้นปีเช่นเดิม ดังเช่น ปี 2023 ที่พบในเดือนเมษายน มีนาคม และกุมภาพันธ์ ปี 2022 ที่พบในเดือนธันวาคม มกราคม และเมษายน ปี 2021 และ 2020 ที่มีพบในเดือนธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ 

เดือนสิงหาคมอากาศดีที่สุดในปี 2024: เฉลี่ยแค่ 11 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 

เดือนที่มีอากาศดีที่สุดในปี 2024 คือเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงทั้งเดือนต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่น คือ 53.13 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดี 8 วัน มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง คุณภาพอากาศปานกลาง 23 วัน ซึ่งถึงแม้จะมีวันที่มีอากาศสีเขียวเพียงแค่ 4 วันแต่เนื่องจากค่าเฉลี่ยในวันที่ 23 สิงหาคมคือ 11 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และวันที่ 22 สิงหาคมคือ 13 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยอากาศที่ต่ำมาก ทำให้จำนวนค่าเฉลี่ยทั้งเดือนต่ำไปด้วย จึงได้แชมป์เดือนที่อากาศดีที่สุดของปีไปครอง

รองลงมาคือเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นเดือนที่มีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง คือ 53.16 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดี 11 วัน มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง คุณภาพอากาศปานกลาง 20 วัน 

ตามมาด้วยมิถุนายน 2024 มีวันที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียวที่ถือว่าอากาศดี 12 วัน มีวันที่อากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง คุณภาพอากาศปานกลาง 30 วัน ทั้งนี้เดือนสิงหาคม เดือนกรกฎาคม และมิถุนายนซึ่งเป็น 3 เดือนที่อากาศดีที่สุดนั้น ไม่พบวันที่มีอากาศในเกณฑ์สีส้มและแดงเลย ในขณะที่วันที่อากาศดีที่สุดในปี 2024 คือวันที่ 23 สิงหาคม 2024 โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 11 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่วันที่อากาศดีที่สุดในปี 2023 คือ วันที่ 16 กันยายน โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 20 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม ค่าฝุ่นในแต่ละวันตามสถิติจากเว็บไซต์ The World Air Quality Index Project เป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จึงอาจเป็นไปได้ว่าในวันหนึ่งหนึ่งอาจจะมีบางเขตของกรุงเทพฯ ที่มีค่าฝุ่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีบางเขตที่มีค่าฝุ่นต่ำกว่าเฉลี่ย หรือแม้กระทั่งมีค่าฝุ่นอยู่ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันในทุกทุกเขต

ถ้าค่าฝุ่น PM2.5 22 มคก./ลบ.ม. = บุหรี่ 1 มวน ปี 2024 ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ สูบบุหรี่ไปกี่มวน

จากงานของ Richard A. Muller นักวิจัยชาวอเมริกันจากสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Berkeley Earth แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งคำนวณเปรียบเทียบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศหรือ PM2.5 กับปริมาณการสูบบุหรี่ พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งหากนำค่าฝุ่นแบบค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของปี 2024 มาคำนวณเปรียบเทียบตามเกณฑ์ของ Richard Muller จะพบว่า

ในปี 2024 ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ สูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่ ทั้งหมด 1,297.14 มวน ลดลงจากปี 2023 ที่มีจำนวน 1,370.09 มวน ถึง 81.95 มวน หรือคิดเป็น 4.09 ซอง แต่ก็ยังมากกว่าปี 2022 ที่มีจำนวน 1,224.77 มวน และปี 2021 ที่มีจำนวน 1,261.05 มวน

สำหรับเดือนที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในปี 2024 อย่างเดือนมกราคม คนกรุงเทพฯ สูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่จำนวน 168.91 มวน คิดเป็นเฉลี่ยวันละ 5.45 มวน ซึ่งมีจำนวนของมวนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในปี 2023 อย่างเดือนเมษายน ที่มีจำนวน 157.45 มวน หรือเฉลี่ยวันละ 5.24 มวน 

หรือในเดือนที่อากาศดีที่สุดในปี 2024 อย่างเดือนสิงหาคม คนกรุงเทพฯ ก็ยังสูดดมฝุ่นพิษ PM2.5 เทียบเท่าการสูบบุหรี่จำนวน 74.86 มวน เฉลี่ยวันละ 2.41 มวน อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ถือว่าลดลง เมื่อเทียบกับเดือนที่อากาศดีที่สุดในปี 2023 อย่างเดือนสิงหาคมที่มีจำนวน 70.14 มวน เฉลี่ยวันละ 2.33 มวน 

การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปี 2024 ที่ผ่านมาสำเร็จแค่ไหน

ปัญหา PM2.5 นับเป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงต้นปีและปลายปีทุกปี ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของประชาชนไทย รัฐบาลเคยมีมติให้ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติในปี 2019 โดยในแผนวาระฝุ่นแห่งชาตินั้น มีการกำหนดตัวชี้วัดไว้ 3 ข้อด้วยกัน คือ1) จํานวนวันที่ปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น 2) จํานวนจุดความร้อน (Hotspot) ภายในประเทศลดลง 3) จํานวนผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ (ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ) ลดลง 

ในขณะที่ในปี 2023 เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่ภาคเหนืออย่างรุนแรง ส่งผลให้ประเด็นเรื่อง PM2.5 กลับมาเป็นที่พูดถึงและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม 2023 ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จึงได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2024 โดยกำหนดเป้าหมายเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในปี 2024 ดังนี้ 

1. 17 จังหวัดในภาคเหนือ ต้องดำเนินการลดการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 10 แห่ง และป่าสงวนแห่งชาติทั้ง 10 แห่ง ลงให้ได้ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน

จากข้อมูลพื้นที่เผาไหม้ (burn scar) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระหว่าง ม.ค.-พ.ค. 2023 และ ม.ค.-พ.ค. 2024 พบว่า ในปี 2023 จังหวัด 17 จังหวัดในภาคเหนือ มีพื้นที่เผาในป่าสงวนแห่งชาติ 3,731,468.34 ไร่ ส่วนปี 2024 เกิดการเผา 3,819,335.70 ไร่ หรือมีการเผาในพื้นที่ป่าสงวนเพิ่มขึ้น 87,867.363 ไร่ หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.35% จึงถือว่าเป้าหมายในส่วนนี้ไม่ประสบความสำเร็จ

ในส่วนของป่าอนุรักษ์นั้น พบว่าในปี 2023 พื้นที่ป่าอนุรักษ์ใน 17 จังหวัดภาคเหนือเกิดการเผา 3,952,486.113 ไร่ ส่วนปี 2024 เกิดการเผา 3,382,162.591 ไร่ หรือมีการเผาในป่าอนุรักษ์ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ลดลง 570,323.522 หรือคิดเป็นลดลง 14.43% แม้พื้นที่เผาไหม้ในป่าอนุรักษ์จะลดลง แต่เมื่อเทียบกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าลดการเผาลง 50% นั้นก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน 

ดังนั้น เป้าหมายลดการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 10 แห่ง และป่าสงวนแห่งชาติทั้ง 10 แห่ง ลงให้ได้ 50% ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จึงไม่บรรลุผล

2. การเผาในพื้นที่เกษตรกรรมใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ต้องลดลง 50% 

เมื่อตรวจสอบการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2023 พบว่า มีพื้นที่การเผา 1,206,204.498 ไร่ ขณะที่ปี 2024 มีการเผา 1,609,633.09 ไร่ หรือมีเผาในพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 403,428.59 ไร่ หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 33.45% ซึ่งถือว่าไม่สามารถทำตามเป้าได้

ดังนั้น เป้าหมายลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ลง 50% จึงถือว่าไม่บรรลุผล

3. การเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติ นอกเหนือจากพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือต้องลดลง 20%

สำหรับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ นอกเหนือจากพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ พบว่าปี 2023 มีการเผา 240,720.83 ไร่ ขณะที่ปี 2024 มีการเผาสูงถึง 1,020,301.16 ไร่ หรือพื้นที่ป่าสงวนนอกเหนือจากพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ มีการเผาเพิ่มขึ้น 779,580.33 ไร่ หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 323.85% เลยทีเดียว

ส่วนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ พบว่าในปี 2023 มีพื้นที่เผาเกิดขึ้น 463,572.441 ไร่ และปี 2024 มีพื้นที่เผา 999,132.12 ไร่ หรือพื้นที่ป่าอนุรักษ์นอกเหนือจากพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีการเผาเพิ่มขึ้นถึง 535,559.679 ไร่ หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 115.53% 

ดังนั้น เป้าหมายลดการเผาในพื้นป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาตินอกเหนือจากพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ลง 20% จึงถือว่าไม่บรรลุผล

4. พื้นที่เกษตรกรรม นอกเหนือจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ต้องลดการเผาลง 10%

พื้นที่เกษตรกรรมนอกเหนือจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ พบว่า ในปี 2023 มีการเผา 495,733.499 ไร่ ส่วนปี 2024 มีการเผา 4,851,424.91 ไร่ หรือมีการเผาในพื้นที่เกษตรนอกเหนือจาก 17 จังหวัดภาคเหนือเพิ่มขึ้น 4,355,691.411 ไร่ หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 878.64% เลยทีเดียว

ดังนั้น เป้าหมายลดการเผาในพื้นที่เกษตร นอกเหนือจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ลง 20% จึงถือว่าไม่บรรลุผล

5. ค่าเฉลี่ยของฝุ่นควัน PM2.5 ในภาคเหนือจะต้องลดลง 40% กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลดลง 20% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องลดลง 10% และภาคกลางลดลง 10%

จากรายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2023 โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 33 มคก./ลบ.ม. ในขณะที่ภาคเหนือ มีค่าเฉลี่ย PM2.5 อยู่ที่ 62 มคก./ลบ.ม. ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 41 มคก./ลบ.ม. ส่วนของภาคกลางมีค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 34 มคก./ลบ.ม. 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ในปี 2024 นั้นยังไม่ปรากฏมีการทำรายงานออกมา จึงยังไม่สามารถประเมินผลความสำเร็จของเป้าหมายในส่วนนี้ได้ว่าบรรลุผลหรือไม่ 

6. จำนวนวันที่มีฝุ่นควันเกินค่ามาตรฐานกำหนด ในภาคเหนือต้องลดลง 30% กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลดลง 5% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลง 5% ภาคกลาง 10%

จากรายงานสรุปสถานการณ์และผลการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ปี 2023 กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2023 มีจำนวนวันที่มีฝุ่นควันเกินค่ามาตรฐานกำหนด ในภาคเหนือ 93 วัน กรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 52 วัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 95 วัน และภาคกลาง 73 วัน 

อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่มีฝุ่นควันเกินค่ามาตรฐานกำหนดในปี 2024 นั้นยังไม่ปรากฏการทำรายงานออกมา จึงยังไม่สามารถประเมินผลความสำเร็จของเป้าหมายในส่วนนี้ได้ว่าบรรลุผลหรือไม่ 

ปี 2024 เป้าการลดฝุ่น PM2.5 ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วมาตรการใน ปี 2025 เป็นอย่างไร 

สำหรับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กับการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่อง PM2.5 ในปี 2025 พบว่าเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2025 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเร่งด่วนในที่ประชุม ครม. คือ เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมีเป้าหมายต้องลดให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และมีข้อสั่งการให้แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรที่มีการเผา 

มาตรการด้านการเกษตร

สำหรับมาตรการด้านการเกษตรนั้น กำหนดให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพื่อให้ผู้ประกอบการงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ รวมทั้งพืชเกษตรอื่นๆ ที่ผ่านการเผา บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า เผาตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่นๆ รวมทั้งประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษ กรมศุลกากรตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาทุกชนิด ตามแนวชายแดนต่างๆ อย่างเข้มงวด 

อย่างไรก็ตาม นโยบายการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยไฟไหม้ จากข้อมูลการรับอ้อยเข้าหีบในปีหีบ 2024/2025 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2025 พบว่ามีอ้อยไฟไหม้เข้าหีบไปแล้ว 5,592,524.900 ตัน แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มรายได้จากใบและยอดอ้อย การให้เงินสนับสนุนการรับซื้อใบและยอดอ้อย เพื่อเป็นวัตถุดิบด้านพลังงานป้อนโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลรวมไปถึงนโยบายเพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มเติมทั้งในรูปแบบที่เป็นมาตรการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร (In Kind) และในรูปแบบเงินช่วยเหลือ (In Cash) เพื่อสนับสนุนชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีส่งโรงงานให้มีรายได้เพิ่มและเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวอ้อยสดก็ตาม

มาตรการด้านขนส่งและการก่อสร้าง

มีนโยบายให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบและห้ามใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถกระบะ รถโดยสาร รถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ปล่อยควันดำรวมทั้งรถขนส่งมวลชนของ ขสมก. และรถร่วมบริการเส้นทางต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ ด้านการก่อสร้างยังคงมีนโยบายคล้ายเดิม กล่าวคือให้หน่วยงานรับผิดชอบควบคุมการก่อสร้างป้องกันการปล่อย PM2.5 จากไซต์งานก่อสร้างรวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

มาตรการด้านฝุ่นละอองและจุดความร้อน

รัฐบาลมีมติให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนาแพลตฟอร์มฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับจุดความร้อน (Hotspot) และระบบระบายอากาศ (Ventilation) โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม หรือ low cost sensors เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาการฟุ้งกระจายของ PM2.5 

มาตรการด้านหมอกควันข้ามพรมแดน 

รัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงการต่างประเทศหารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือและให้ความช่วยเหลือในการลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) และยังมีแนวความคิดควบคุมการนำเข้าและไม่รับซื้อสินค้าเกษตรที่มาจากการเผา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 

มาตรการการเฝ้าระวังและบูรณาการด้านข้อมูล

มีการกำหนดให้เฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 และการคาดการณ์ในอนาคต โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ การเฝ้าระวังและเตือนภัยฝุ่นละออง PM2.5 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับจุดความร้อน โดยผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ รวมไปถึงการปฏิบัติการและการควบคุมไฟป่า 14 กลุ่มป่า โดยอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และยังมีการสนับสนุนกำลังพล ยุทโธปกรณ์และเครื่องมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า โดยแม่ทัพภาคที่ 3 อีกด้วย

นอกจากนี้ ในส่วนของ ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นและมีการประกาศใช้ใน 2025 นี้ 

แล้ว กทม. มีมาตรการอะไรบ้างในปี 2025

สำหรับกรุงเทพมหานคร มีการนำเสนอ (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2025 ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” แบ่งออกเป็น มาตรการดำเนินการตลอดทั้งปี มาตรการดำเนินการเมื่อสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และมาตรการระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้

มาตรการดําเนินการตลอดทั้งปี

1. พยากรณ์ แจ้งเตือนป้องกันฝุ่น 

การแจ้งเตือนค่าฝุ่นละอองในที่สาธารณะ ทั้งป้ายประชาสัมพันธ์บริเวณสี่แยก ธงคุณภาพอากาศในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 แห่ง โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร จํานวน 11 แห่ง สวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จํานวน 39 แห่ง ชุมชนที่จดทะเบียน จํานวน 2,017 ชุมชน รวมไปถึงเว็บไซต์แอปพลิเคชัน AirBKK Air4Thai เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชันไลน์ป้ายจราจรอัจฉริยะของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และ Traffy Fondue

2. ขยายระบบการติดตามและแจ้งเตือนฝุ่นระดับแขวง 1,000 จุด (ปัจจุบัน 732 จุด)

ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและส่งเสริมสถานศึกษาติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละออง PM2.5 ประกอบด้วย สถานที่ก่อสร้าง จํานวน 100 แห่ง สถานศึกษา ให้ครอบคลุมโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ทั้ง 437 โรงเรียน

3. จัดทีม “นักสืบฝุ่น” และศึกษาต้นตอฝุ่นละออง PM2.5

4. ตรวจจับควันดําจากต้นตอ

การตรวจสอบสถานที่และการตรวจวัดควันดํารถบรรทุกอย่างน้อยแห่งละ 2 ครั้งต่อเดือน ทั้งสถานที่ก่อสร้างหรือไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่อนุญาตก่อสร้างโดยสํานักการโยธา ได้แก่ โครงการก่อสร้างทาง โครงการก่อสร้างอาคารราชการในสังกัดกรุงเทพมหานคร โครงการก่อสร้างอาคาร โครงการก่อสร้างที่อนุญาตโดยสํานักงานเขต สถานประกอบการหรือโรงงานอุตสาหกรรม สถานีขนส่ง อู่รถเมล์ ท่าปล่อยรถสองแถว บริษัทขนส่ง บริษัทรถบรรทุก ท่ารถตู้โดยสารสาธารณะ รถโดยสารสาธารณะประจําทาง รถโดยสารไม่ประจําทาง รถบรรทุกใช้งานในแพลนท์ปูน หากมีค่าควันดําไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน จะมอบสติ๊กเกอร์สําหรับใช้เข้าออกแพลนท์ปูนหรือสถานที่ก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

5. สนับสนุนให้เกิด Ecosystem รถพลังงานไฟฟ้า

ส่งเสริมการดัดแปลงรถราชการในสังกัดกรุงเทพมหานคร ประเภทเครื่องยนต์ดีเซลเป็นรถยนต์ไฟฟ้า จัดทําหลักสูตรดัดแปลงรถจักรยานยนต์เป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า และหลักสูตรดัดแปลงรถยนต์เป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า จัดหารถเก็บขนมูลฝอยให้เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ดีเซล

6. ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในชั่วโมงเร่งด่วน (Low Emission Zone)

ให้บริการ Shuttle bus จํานวน 4 เส้นทาง ได้แก่ สาย B2 ดินแดง – BTS สนามเป้า สาย B3 ชุมชนเคหะร่มเกล้า – ARL ลาดกระบัง สายสามเสน – ฝั่งธนบุรี และบริการท่องเที่ยว 4 ตลาดน้ํา ขยายผลการดําเนินงานเขตควบคุมมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ไปอีก 5 เขต

7. การตรวจสอบคุณภาพอากาศเชิงรุกในโรงงาน

ตรวจกํากับโรงงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงและโรงงานที่มีฝุ่นละอองสูงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 260 แห่ง อย่างน้อยแห่งละ 2 ครั้งต่อเดือน ทั้งกิจการผสมซีเมนต์ จํานวน 124 แห่ง กิจการหลอมโลหะ จํานวน 74 แห่ง กิจการที่มีการใช้หม้อไอน้ํา จํานวน 101 แห่ง ให้คําแนะนําและกํากับดูแลเจ้าหน้าที่ฌาปนกิจศพในวัดและฌาปนสถาน จํานวน 308 แห่ง ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ

8. การก่อสร้าง

กํากับดูแลผู้รับเหมาก่อสร้างในแต่ละโครงการที่อยู่ภายใต้สัญญาให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนดไว้ในรายงาน EIA ดําเนินการตามกฎหมายกับผู้ขออนุญาตก่อสร้างที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตก่อสร้างของโครงการก่อสร้างที่ขออนุญาตที่สํานักการโยธาและสํานักงานเขต

9. การควบคุมการเผาในที่โล่ง

ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังและฟางข้าวแทนวิธีการเผา รณรงค์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทํานาของกรุงเทพมหานครลดการเผาตอซังข้าวและวัสดุทางการเกษตร ติดตามผลการทําเกษตรปลอดการเผา 100% ในพื้นที่เขตลาดกระบัง เขตหนองจอก และเขตคลองสามวา ให้บริการรถอัดฟางแก่เกษตรกร จําวนวน 3 คัน เพื่อลดการเผาตอซังข้าว มีช่องทางกลุ่มไลน์ : monitor open burning เพื่อเฝ้าระวังและติดตามพื้นที่เสี่ยงการเผา ติดตามและเฝ้าระวังจุดความร้อนจากการเผาในที่โล่ง/พื้นที่การเกษตรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลบนเว็บไซต์ของ GISTDA และควบคุมแก้ไขปัญหาการเผา โดยประสานหน่วยงานรับผิดชอบหลักในพื้นที่เกิดเหตุเข้าระงับเหตุ 

10. การป้องกัน ดูแลสุขภาพ ประชาชน

จัดทําห้องปลอดฝุ่น ประกอบด้วยโรงเรียนในสังกัด กทม. 429 แห่ง (กลุ่มเปราะบาง นักเรียนระดับอนุบาล อายุ 2-6 ปี) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด กทม. 274 แห่ง โรงพยาบาลในสังกัด กทม. 11 แห่ง ห้องปลอดฝุ่นในชุมชน โดยมีต้นแบบ ณ ชุมชนคลองลัดภาชี เขตภาษีเจริญ ขยายผลห้องเรียนสู้ฝุ่นครอบคลุมโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้ง 437 โรงเรียน

11. การพัฒนาพื้นที่ปลอดฝุ่น (BKK Clean Air Area) ด้วยต้นไม้ สําหรับพื้นที่เปิด ด้วยเครื่องฟอกอากาศสําหรับพื้นที่ปิด 

จัดให้มีกําแพงต้นไม้กรองฝุ่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การทําเครื่องฟอกอากาศแบบ DIY โดยโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานครตามแนวรถไฟฟ้าหรือแผนการศึกษา เช่น ปลูกต้นไม้ล้านต้น สวน 15 นาที และถนนสวย ล้างและดูดฝุ่นถนน และล้างต้นไม้ ใบไม้ทุกวัน เพื่อดักจับฝุ่นละอองและเพิ่มความชื้นในอากาศ ล้างทําความสะอาดจุดสัมผัส ขยายเวลาเปิด-ปิดสวนสาธารณะ

ในขณะที่มาตรการดําเนินการเมื่อสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนดไว้ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก็จะคล้ายกันกับมาตรการทั้งปี แต่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น สถานศึกษาสามารถสั่งปิดการเรียนการสอนได้ หรือมีหน่วยบริการสาธารณสุขและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกตรวจจํานวน 69 หน่วย เพื่อให้บริการตรวจรักษาโรคและให้คําแนะนําการป้องกันสุขภาพจากฝุ่นละออง PM2.5 หรือหากเกิน 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป ก็จะมีการพิจารณาขยายพื้นที่ในการจํากัดเวลารถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือขอความร่วมมือให้ WFH และถ้าเกิน 150 มคก./ลบ.ม. ขึ้นไป ติดต่อกัน 5 วัน ก็จะประกาศเขตการให้ความช่วยแหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)

ส่วนมาตรการระยะยาวนั้นก็คล้ายกันกับมาตรการทั้งปี แต่เป็นเพียงกรอบมาตรการกว้างๆ โดยมีส่วนที่แตกต่างคือการกําหนดและบังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษจากรถยนต์ใหม่ตาม EURO 6

 

จากข้อมูลของ Rocket Media Lab ที่เคยประเมินผลแผนวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2019 ซึ่งกำหนดตัวชี้วัดไว้ 3 ข้อด้วยกันคือ 1) จํานวนวันที่ปริมาณฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น 2) จํานวนจุดความร้อน (Hotspot) ภายในประเทศลดลง 3) จํานวนผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ (ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ) ลดลง โดยแผนวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2019 ไม่ประสบความสำเร็จตามตัวชี้วัดที่ได้ตั้งไว้ 

ในขณะที่เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดในปี 2024 ที่กรมควบคุมมลพิษ ตั้งเอาไว้กับข้อมูลที่ได้นำเสนอข้างต้น ก็จะพบว่าไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน 

และเมื่อพิจารณาต่อไปยังมาตรการใหม่ในปี 2025 ทั้งในส่วนของรัฐบาลและกรุงเทพฯ นั้น ก็จะพบว่ามีมาตรการไม่ต่างจากแผนวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2019 เพียงแต่มีการเพิ่มรายละเอียดมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่แผนวาระฝุ่นแห่งชาติ ปี 2019 ก็ล้มเหลว และเป้าหมายจากมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2024 ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงน่าสนใจว่า แล้วมาตรการในปี 2025 ที่ไม่ได้แตกต่างจากแผนเดิมในอดีตที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จนั้น จะทำให้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ลดลงได้หรือไม่ในปี 2025 นี้ 

หมายเหตุ: 

  • อ้างอิงข้อมูลสถิติจากเว็บไซต์ The World Air Quality Index Project ซึ่งค่าฝุ่นเป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง https://aqicn.org/city/chiang-mai 
  • ค่าฝุ่นในแต่ละวันตามสถิติจากเว็บไซต์ The World Air Quality Index Project เป็นค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จึงอาจเป็นไปได้ว่าในวันหนึ่งหนึ่งอาจจะมีบางเขตของกรุงเทพฯ ที่มีค่าฝุ่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีบางเขตที่มีค่าฝุ่นต่ำกว่าเฉลี่ย หรือแม้กระทั่งมีค่าฝุ่นอยู่ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันในทุกทุกเขต 
  • PM2.5 เทียบกับบุหรี่ http://berkeleyearth.org/air-pollution-and-cigarette-equivalence 
  • อ้างอิงข้อมูลจุดความร้อนจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA 
  • อ้างอิงมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2024 และกลไกการบริหารจัดการ จากการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 ธันวาคม 2023 https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/76368
  • ค่าปกติของฝนหมายถึง ค่าเฉลี่ยคาบ 30 ปีระหว่าง 1991-2020 ประมาณค่าฝนเชิงพื้นที่ด้วยวิธี Inverse Distance Weighting (IDW) โดยใช้ข้อมูลจากสถานีตรวจอากาศกรมอุตุนิยมวิทยา

ดูข้อมูลได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-bkk-pm-25-2024 

 

 
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: