นักเศรษฐศาสตร์แนะปฏิรูปประกันสังคมสู่องค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ การบริหารกองทุนประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว โปร่งใส มีธรรมาภิบาลสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เสถียรภาพของผู้ประกอบการ และความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐ รัฐบาลต้องมอบความเป็นอิสระให้กับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประกันสังคม ในการบริหารกองทุนประกันสังคมและปกป้องจากการแทรกแซงของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
เมื่อช่วงเดือน ก.พ. 2568 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวสูงถึง 11.7% ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2533 และในช่วงทศววรษ 2530 ไทยเคยเติบโตทางเศรษฐกิจในบางปีสูงถึง 13.3% ต่อปี การที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียนหลายปีติดต่อกันและมีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 3% มาโดยตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและโครงสร้างประชากร นอกจากนี้สัดส่วนของการลงทุนเทียบกับจีดีพีอยู่ในระดับต่ำ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐหรือกิจการที่สัมปทานให้เอกชนดำเนินการก็มักจะมีการทุจริตรั่วไหลและเบี่ยงเบนไปจากหลักวิชาการ ผิดไปจากหลักการของการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ดี และไม่เป็นไปตามหลักการลงทุนเพื่อสาธารณะ เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อประโยชน์ในทุกระดับ มีการผ่องถ่ายผลประโยชน์สาธารณะไปเป็นผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม นโยบายและมาตรการต่างๆมักมีผลประโยชน์ทับซ้อนทุจริตและมีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ของเครือข่ายของกลุ่มผูกขาดอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเสมอ จึงไม่มีนโยบายหรือมาตรการใดที่มีประสิทธิผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีขึ้น ไม่มีประสิทธิภาพช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตได้เต็มศักยภาพหรือยกระดับศักยภาพให้สูงขึ้น ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่มีเสถียรภาพจากรัฐประหารสองครั้งและความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมืองเป็นระยะๆ การเติบโตต่ำจึงกลายเป็น “ภาวะปรกติ” ของเศรษฐกิจไทยตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โอกาสที่ “ไทย” กลับมาสู่การเป็น “แถวหน้า” ของอาเซียนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่แก้ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้เสียก่อน
การจะหนีเติบโตรั้งท้ายอาเซียนต้องเดินหน้าการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กฎหมายและระบบสถาบันต่างๆ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีให้อยู่ในระดับเดียวกับช่วงทศวรรษ 2530 ลงทุนในนวัตกรรมและทรัพยากรมนุษย์ สร้างฐานการเติบโตและรายได้ใหม่ ระยะสั้นต้องผ่อนคลายการเงินและกฎระเบียบเปิดกว้างให้มีการขับเคลื่อนการลงทุนด้านต่างๆอย่างเต็มที่ โดยขจัดอุปสรรคทางกฎระเบียบให้หมดไป แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันติดสินบนให้ลดลงอย่างจริงจัง แนวทางการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนกว่า และ ส่งผลในระยะปานกลางและระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการเสพติดนโยบายและมาตรการประชานิยมเกินขนาดและนำมาสู่ปัญหาฐานะทางการคลังในอนาคต ก็คือ การปรับโครงสร้างภาคการผลิต การบริหารจัดการทางด้านอุปทาน ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต้องทำให้เกิด Breakthrough Competitiveness and Growth with country innovation ต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทางด้านวิจัยและนวัตกรรมต่อจีดีพีให้สูงขึ้น โดยเฉพาะต้องลงทุนในการศึกษาและวิจัยยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์ ผลิตภาพของทุนและแรงงาน
ในส่วนของภาคเกษตรกรรมนั้นต้องแปรรูปพืชผลเกษตรเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุนทางด้านวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลิตผลการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ลดต้นทุนโดยเฉพาะค่าปุ๋ย ค่าอาหารสัตว์ ปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้มากขึ้น การใช้มาตรการและนโยบายเหล่านี้จะแก้ปัญหายั่งยืนกว่า ในส่วนของธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ เอสเอ็มอี ต้องมุ่งที่ การเพิ่มผลิตภาพทุน และ ผลิตภาพแรงงาน ผ่านการลงทุนทางด้านการพัฒนาทักษะ และ เทคโนโลยี มุ่งสร้างเครื่องหมายการค้า และ เอาการตลาดนำการผลิต ขยายตลาดใหม่ ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินกิจการ ภาครัฐเองก็ต้องลดต้นทุนให้กับเกษตรกรและกิจการเอสเอ็มอี ด้วยการมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการทั้งหลาย ทั้งระบบประปา ระบบบริหารจัดการน้ำและการชลประทาน ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบโทรคมนาคม ระบบคมนาคมขนส่งโลจีสติกส์ ระบบการบังคับใช้กฎหมายและระบบใบอนุญาตต่างๆ การติดสินบนทุจริตคอร์รัปชันต้องลดลงอย่างชัดเจน เป็นต้น
นอกจากนี้ ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีสินค้าเกษตรอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องมีแนวทางที่ปกป้องผู้ผลิตภายใน และ การอุดหนุนราคาโดยไม่ผิดหลักการขององค์การการค้าโลก เพิ่มการแข่งขัน ลดอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดและโครงสร้างการผลิตทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทำให้ “เกษตรกร” และ “ผู้ประกอบการขนาดย่อมขนาดเล็ก” มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมของไทย นวัตกรรมของประเทศ จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ขณะที่เราไม่สามารถเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ภายใต้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมที่สูงยิ่ง การปฏิรูปให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและการกระจายความมั่งคั่งจึงมีความสำคัญเช่นเดียวกัน การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุนโดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาด ให้กลาย เป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกินมากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การลดช่องว่างทางรายได้ การแก้ความยากจนและสร้างความเป็นธรรมทางสังคมจำเป็นต้องดำเนินการใน 2 ด้าน คือ ด้านผู้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างเหลือล้น – ใช้แนวทางการคลัง การงบประมาณ การภาษี และการป้องกันการผูกขาด ส่วนด้านคนยากไร้ – ผลักดันให้กลุ่มผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสหลุดพ้นจากภาวะขัดสนยากจนด้วยการสร้างโอกาสให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต พัฒนาระบบสวัสดิการโดยรัฐอย่างเป็นระบบ จัดให้มีระบบการคุ้มครองทางสังคม (Social protection) และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายสาธารณะ ทิศทางแนวนโยบายด้านสวัสดิการสังคมที่เป็นไปได้ และสามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การสร้าง “สังคมสวัสดิการ (Welfare Society)” ขึ้นโดยผนึกกำลังจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมสร้างสรรค์สวัสดิการสังคมขึ้นในหลายรูปแบบ มีการจัดการโดยหลายสถาบัน และสร้างความร่วมมือจากหลายฝ่ายให้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสวัสดิการอย่างกว้างขวางครอบคลุม โดยแต่ละรูปแบบและแต่ละสถาบันมีความเป็นอิสระต่อกัน ภายใต้ความรับผิดชอบและการดูแลของสังคมโดยรวม ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความมั่งคั่งของไทยจึงยังคงอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด พบว่า ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิด 19 ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นและเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่เท่าเทียมเป็นรูปตัว K และ ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้กลุ่มรวยสุด 10% แรกกับกลุ่มรายได้ต่ำสุด 10% ล่าง ต่างกันมากกว่า 20 เท่า กลุ่มคนรวยสุดร้อยละ 10 ถือครองรายได้รวมมากกว่า 35% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ
แนวคิดและนโยบายแบบประชานิยมเฟื่องฟูขึ้นท่ามกลางความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “ประชานิยม” บรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้แก้โครงสร้าง และ ยังทำให้ “ประชาชนส่วนใหญ่” “นักการเมือง” และ “ข้ารัฐการ” ไม่ตระหนักและละเลยปัญหาในเชิงโครงสร้างอีกด้วย ขณะเดียวกัน รูปแบบวิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมที่เกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และเอเชียบางประเทศ จะก่อความขัดแย้งและทำให้ระบอบเสรีประชาธิปไตยอ่อนแอลง แปรสภาพเป็น ระบอบอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งมากขึ้นตามลำดับ วิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมมุ่งสร้างคู่ตรงข้ามในเชิงศีลธรรมระหว่าง “ประชาชน” และ “ชนชั้นนำผู้ฉ้อฉล” เพื่อระดมการสนับสนุนจากมวลชนให้ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในหลายประเทศที่มีนโยบายประชานิยม พบว่า ต้องอาศัยผู้นำที่มีบารมี (Charismatic Leadership) อาศัยระบบอุปถัมภ์ (Clientelism) มีปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง และในหลายกรณีประชานิยมอาจไม่ได้นำมาสู่การบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำ นโยบายกระจายการจัดสรรทรัพยากร การกระจายรายได้กระจายความมั่งคั่ง ความสำเร็จของการลดความเหลื่อมล้ำเป็นผลจากการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่า
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีของไทย มาตรการประชานิยมพักหนี้ แจกเงิน อาจไม่ได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืน เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ บรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สิน ประเทศไทยจึงมีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับสองในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และ อยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก ขณะเดียวกัน คนไทยมีหนี้สาธารณะที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยท่านละไม่ต่ำกว่า 1.7-1.8 แสนบาท รัฐบาลทำขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมอีกในปีงบประมาณ 68 และ 69 ชาวไทยแต่ละท่านมีภาระหนี้สินส่วนครัวเรือนรวมหนี้สาธารณะมากกว่า 4.2 แสนบาท ฉะนั้นการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพที่ 5-6% เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจมีรายได้สูงขึ้น และ ต้องสร้างกลไกให้เกิดการกระจายรายได้มายังคนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง คือ ต้องปฏิรูปโครงสร้างการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง การพักหนี้ เจรจาประนอมหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ยเป็นเพียงแค่บรรเทาแต่ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต้องแก้ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจ มาตรการประชานิยมช่วยได้แค่บรรเทาปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบ ต้องมีการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้
ชุดของนโยบายประชานิยมมักเชื่อมโยงกับการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำเสมอ และ มีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง มองเจตจำนงประชาชนเหนือกว่าหลักการด้านอื่นๆ สอง เจตจำนงของประชาชนควรสะท้อนผ่านความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างประชาชนกับผู้นำทางการเมือง การพักหนี้ การแจกเงิน การขึ้นค่าแรงโดยยึดกรอบการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ดี ระมัดระวังในเรื่องวินัยการเงินการคลัง ย่อมไม่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค วิกฤติหนี้สาธารณะ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง เหมือนประชานิยมในละตินอเมริกาในยุคฮวน เปรองแห่งอาร์เจนตินา ค.ศ. 1946-1955 หรือ อัลแบร์โต ฟูจิโมริแห่งเปรู ค.ศ. 1990-2000 บรรเทาปัญหาหนี้สินและลดความเหลื่อมล้ำได้บ้าง วิกฤติหนี้สิน และ ความเหลื่อมล้ำรุนแรง จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่จะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมในอนาคตของไทยได้ การบรรเทาปัญหาด้วยมาตรการระยะสั้นย่อมมีความจำเป็นไม่ต่างจากการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างด้วยมาตรการระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในโอกาส (Inequality of Opportunity) หรือ ความเหลื่อมล้ำของผลลัพธ์ (Inequality of Outcome) ก็ตาม จะกดดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงในระยะปานกลางและระยะยาว ศักยภาพและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจถดถอยลง เป็นผลลบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงทางการเมืองและสังคม หากพรรคการเมืองใดต้องการวางเป้าหมายต้องการให้ประเทศไทยมีระบบรัฐสวัสดิการแบบยุโรปเหนือย่อมทำได้แต่เป็นเรื่องที่อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้และไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ประเทศรัฐสวัสดิการมักเป็นประเทศที่มีระบบราชการหรือระบบรัฐการที่ใหญ่ Bigger Government ไม่ใช่ Smaller Government ประเทศรัฐสวัสดิการต้องมีระบบราชการและระบบการเมืองที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นรัฐสวัสดิการที่ล้มเหลวหรือประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินการคลัง เกิดวิกฤติทางการคลัง นำไปสู่การลดขนาดของระบบราชการและลดสวัสดิการของรัฐในที่สุด ปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปใต้และฝรั่งเศส
การเดินหน้าระบบรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบในไทย เรื่องแรกที่ต้องตอบให้ได้ คือ ระบบราชการไทยเป็นอย่างไร กรณีไทย ต้องปรับเปลี่ยนระบบราชการให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพก่อน คือ ต้องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่พร้อมกับการกระจายอำนาจการจัดระบบสวัสดิการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องที่สอง คือ ต้องปฏิรูปรายได้ภาครัฐและเพิ่มภาษี ประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เป็นประเทศรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบจะมีสัดส่วนรายได้ภาษีอยู่ที่ระดับ 42-48.9% ของจีดีพี อย่างเดนมาร์ก มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีอยู่ที่ 48.9% สวีเดนอยู่ที่ 48.2% โดยประเทศพัฒนาใน OECD มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 35% สหรัฐอเมริกาที่ใช้แนวคิดปัจเจกนิยมเสรี (Liberal Individualism) กับ แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) ผสมกันในจัดระบบสวัสดิการโดยรัฐ ขึ้นอยู่กับว่า พรรคแดโมแครต หรือ พรรครีพับรีกัน พรรคไหนเป็นรัฐบาล มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 28-30% ส่วนไทยมีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเพียงแค่ 14% เท่านั้น จึงยังห่างไกลต่อการมีฐานะทางการคลังที่สามารถสนับสนุนรัฐสวัสดิการแบบเต็มรูปแบบอย่างสแกนดิเนเวียได้
ประเทศไทยเคยมีสัดส่วนการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ระดับ 18% ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 การจัดเก็บภาษีเพิ่มด้วยการเพิ่มอัตราภาษีในระยะหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าอาจไม่เหมาะสมเนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งอยู่ในระยะแรกของการฟื้นตัว ต้องดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมากๆเต็มศักยภาพเพื่อเก็บภาษีได้เพิ่มโดยไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษี ส่วนการขยายฐานภาษีนั้นควรเดินหน้าจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่วนการจะก่อหนี้มาเพื่อจ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มควรต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากขณะนี้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมดเทียบกับจีดีพีขยับเข้าใกล้ 70% ตามลำดับ กองทุนประกันสังคมถูกออกแบบไว้อย่างดีเพื่อให้เกิดการจ่ายสมทบแบบมีส่วนร่วมจากสามฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างและรัฐบาล จึงเป็น “กองทุน” ของสาธารณชนโดยโครงสร้างเงินสมทบ และ ทำให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการออมที่เข้มแข็งอีกด้วย
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังชี้ว่า กองทุนประกันสังคม เป็น เสาหลักของระบบสวัสดิการสำหรับผู้ใช้แรงงาน การบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว โปร่งใส มีธรรมาภิบาลสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เสถียรภาพของผู้ประกอบการ และความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐ การปฏิรูปประกันสังคมสู่องค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นองค์กรที่บริหารงานได้แบบแบงก์ชาติ กลต หรือ กบข ควรถูกนำมาศึกษาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง การพัฒนา “กองทุนประกันสังคม” ให้เป็น “องค์กรของรัฐ” ที่ไม่ใช่ส่วนราชการอาจจำเป็นสำหรับอนาคตของสังคมไทย รัฐบาลต้องมอบความเป็นอิสระให้กับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประกันสังคม ในการบริหารกองทุนประกันสังคมและปกป้องจากการแทรกแซงของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพต่อกองทุน และ เปิดให้มีส่วนร่วมจากผู้แทนผู้ประกันตนและนายจ้างที่มาจากการเลือกตั้ง ในการกำกับดูแลนโยบายได้อย่างเหมาะสม
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ