Whoscall เปิดรายงานประจำปี 2567 'โทรศัพท์-SMS หลอกลวง' สูงสุดในรอบ 5 ปี ถึง 168 ล้านครั้ง พบการแพร่กระจายของลิงก์อันตรายแปลกปลอม เจอ “ลิงก์ฟิชชิง” มากที่สุด ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ไป “ดาร์กเว็บ-ดีพเว็บ”
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานเมื่อช่วงปี 2568 ว่า นายแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่บริษัทเริ่มเผยแพร่รายงานประจำปีตั้งแต่ปี 2563 เราได้ติดตามสถานการณ์การหลอกลวงของมิจฉาชีพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุก ๆ ตลาดหลักที่ Whoscall ให้บริการอย่างใกล้ชิด
สำหรับประเทศไทย ในปี 2567 เราสามารถระบุสายโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงได้สูงสุดในรอบ 5 ปี ถึง 168 ล้านครั้ง เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการหลอกลวงอย่างแพร่หลาย ทำให้กลโกงมีความซับซ้อนมากขึ้นและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มการหลอกลวงที่ต้องจับตา ได้แก่ การแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การฉ้อโกงทางการเงินในหลากหลายรูปแบบ ทั้งผ่านการโทรศัพท์ ข้อความ SMS ลิงก์อันตราย รวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล
ปี 2567 ตรวจพบโทรศัพท์-SMS หลอกลวงเพิ่มขึ้น 112% จากปีก่อน
ในปี 2567 Whoscall ตรวจพบ สายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงสูงถึง 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 112% จาก 79.2 ล้านครั้งในปี 2566 และถือเป็นยอดที่สูงสุดในรอบ 5 ปีของประเทศไทย ในส่วนของจำนวนการโทรหลอกลวงเพิ่มขึ้นเป็น 38 ล้านครั้ง จาก 20.8 ล้านครั้งในปี 2566 (เพิ่มขึ้น 85%) ขณะที่จำนวนข้อความ SMS หลอกลวงพุ่งสูงถึงเกือบ 130 ล้านครั้ง จาก 58.3 ล้านครั้งในปี 2566 (เพิ่มขึ้น 123%)
สำหรับกลโกงที่พบมากที่สุด ได้แก่ การหลอกขายบริการและสินค้าปลอม การแอบอ้างตัวเป็นหน่วยงาน และหลอกว่ามีเงินกู้อนุมัติง่าย การหลอกทวงเงิน และการหลอกว่าเป็นหนี้
มิจฉาชีพใช้กลลวงเกี่ยวกับการเงิน และแอบอ้างองค์กรเพิ่มสูงขึ้น
ในปีที่ผ่านมา บริการ Smart SMS Assistant หรือผู้ช่วย SMS อัจฉริยะที่ช่วยตรวจสอบข้อความจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก พบว่า มีข้อความ SMS ที่เข้าข่ายการหลอกลวงมากถึง 130 ล้านครั้ง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่ากลุ่มมิจฉาชีพยังคงใช้การส่งข้อความเป็นช่องทางหลักในการหลอกลวง
โดยข้อความ SMS หลอกลวงที่แนบลิงก์ฟิชชิง เช่น ข้อความ SMS ที่หลอกให้กู้เงิน และโฆษณาการพนันยังคงพบมากที่สุด นอกจากนี้ กลุ่มมิจฉาชีพยังเปลี่ยนกลยุทธ์มาแอบอ้างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เช่น แอบอ้างเป็นบริการจัดส่งสินค้า รวมไปถึงการปลอมเป็นหน่วยงานสาธารณูปโภค เพื่อส่งข้อความชวนเชื่อที่สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการลดค่าไฟฟ้า คืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า มาตรการคนละครึ่ง และดิจิทัลวอลเล็ต
พบการแพร่กระจายของลิงก์อันตรายแปลกปลอม เจอ “ลิงก์ฟิชชิง” มากที่สุด
จากฟีเจอร์ Web Checker ที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบลิงก์ที่น่าสงสัยและอันตรายบนเว็บเบราวเซอร์ในระหว่างการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ในปีที่ผ่านมาฟีเจอร์นี้ช่วยปกป้องผู้ใช้งานจากการคลิกลิงก์อันตราย แปลกปลอมหลากหลายประเภท โดยประเภทลิงก์อันตรายที่พบมากที่สุด เป็นลิงก์ฟิชชิงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดูดเงิน หรือล้วงข้อมูลส่วนบุคคล 40% ส่วนลิงก์อันตรายที่เหลือเป็นลิงก์ที่เชื่อมโยงกับการพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย 30% และลิงก์อันตรายที่หลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่มีมัลแวร์ เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญจากอุปกรณ์อีก 30%
พบปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ไป “ดาร์กเว็บ-ดีพเว็บ”
ตรวจพบปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล โดยตรวจสอบผ่านฟีเจอร์ “ID Security” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้ โดยผลการวิเคราะห์พบว่าข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ 41% รั่วไหลไปยังที่ต่าง ๆ เช่น ดาร์กเว็บ และดีพเว็บ ในบรรดาข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลพบว่า 97% เป็นอีเมล และ 88% เป็นเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งอาจมีข้อมูล เช่น วันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุล พาสเวิร์ด รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ หลุดร่วมไปด้วย
“ด้วยสถานการณ์กลโกงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง Whoscall ยืนหยัดที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพ มายกระดับการป้องกันภัยจากการหลอกลวง เพื่อสร้างเครือข่ายป้องกันภัย จากอาชญากรรมทางไซเบอร์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคมไทย เราพร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนอย่างใกล้ชิดในการลดอัตราการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการหลอกลวงดิจิทัล รวมถึงออกบริการใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อปกป้องทั้งผู้ใช้และองค์กรในทุกช่องทาง” นายแมนวู จู กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากนี้ บริษัท โกโกลุก ประเทศไทย จะส่งรายงานฉบับนี้ไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนมาตรการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และสร้างสรรค์แคมเปญการสื่อสารให้แก่ประชาชนต่อไป
พ.ต.อ.เกรียงไกร พุทไธสง ผู้กำกับกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยข้อมูลการดำเนินคดีอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือน ม.ค. 2568 ว่า ล่าสุดพบแล้ว 30,000 กว่าคดี มูลค่าความเสียหาย 400 กว่าล้านบาท สามารถอายัดได้แล้ว 73 ล้านบาท โดยตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา ไทยพบมูลค่าความเสียหายรวมแล้วประมาณ 80,000 ล้านบาท
Gogolook ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall เปิดรายงานประจำปี 2024 วิเคราะห์สถานการณ์กลโกงของมิจฉาชีพตลอดปี จากจำนวนผู้ใช้งาน 25 ล้านรายในไทยพบการหลอกลวง (สแกม) ผ่านการโทรและ SMS รวมกัน 168 ล้านครั้ง หรือเพิ่มขึ้นกว่า 112% สูงสุดในรอบ 5 ปี สำหรับจำนวนการโทรหลอกลวงอยู่ที่ 38 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 85% ซึ่งมาจากการหลอกขายของ การแอบอ้างเป็นบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ การหลอกทวงเงิน การหลอกว่าเป็นหนี้ และการหลอกว่ามีเงินกู้อนุมัติง่าย ส่วนจำนวนข้อความ SMS หลอกลวงอยู่ที่ 130 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 123% เนื่องจากการส่ง SMS ทำได้ง่ายและมีราคาถูก มิจฉาชีพจึงเลือกข่องทางนี้ โดย 5 อันดับข้อความ SMS หลอกลวงที่พบมากที่สุด มีดังนี้: - ให้เครดิตเล่นเว็บพนันฟรี ความเสียหายจาก SMS ส่วนหนึ่งมาจากลิงค์อันตรายแปลกปลอม โดยฟีเจอร์ Web Checker ของ Whoscall ที่ตรวจสอบลิงก์ที่น่าสงสัยและอันตรายบนเว็บบราวเซอร์ในระหว่างการใช้งานโทรศัพท์ พบประเภทความอันตรายดังนี้: ขณะที่ฟีเจอร์ ID Security ของ Whoscall ที่ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า 41% ของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานรั่วไหลไปยังดาร์กเว็บและดีพเว็บ โดย 97% เป็นอีเมล และ 88% เป็นเบอร์โทร ซึ่งอาจมีข้อมูลเช่น ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ และพาสเวิร์ด Gogolook บอกว่าสาเหตุที่จำนวนการหลอกลวงเพิ่มขึ้นสูงขนาดนี้ เป็นเพราะมิจฉาชีพนำ AI มาใช้ในการหลอกลวงมากขึ้น ทำให้กลโกงมีความซับซ้อน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงระบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่มีช่องโหว่ โดยแนวโน้มการหลอกลวงที่ต้องจับตามอง คือการแอบอ้างหน่วยงานรัฐและเอกชน การฉ้อโกงทางการเงิน รวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ด้านผู้กำกับการกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บอกว่าในช่วง 3-4 ปีนี้ มีการปรับปรุงพัฒนาระบบและโครงสร้าง ทำให้ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหามิจฉาชีพ แต่ในภาพรวม ความเสียหายเห็นถึงการเติบโตที่น้อยลงแล้ว แม้จำนวนการแจ้งความจะลดลง แต่หากมีการพัฒนาระบบและเทคโนโลยี การเก็บดาต้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการอุดช่องโหว่ช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงิน เชื่อว่าการหลอกลวงก็จะสามารถลดลงได้กว่านี้ด้วย โดยทางตำรวจไซเบอร์มีการเข้าไปคุยกับแบงก์ชาติ เพื่อหารือปัญหาและทางแก้ในเบื้องต้น |
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ