ความเปลี่ยนแปลงนโยบายจีนต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา พลิกจาก "มองข้าม" เป็น "การจัดการขั้นเด็ดขาด" จุดเปลี่ยนสำคัญมาจาก ปฏิบัติการ 1027 และแรงกดดันจากสาธารณะจีนหลังเกิดคดีนักแสดงถูกลักพาตัว ทำให้จีนต้องเร่งจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง ภายใต้การร่วมมือกับทั้งเมียนมาและไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความปลอดภัยของพลเมืองจีนเอง
วิวัฒนาการปรับนโยบายและกลยุทธ์ของจีนต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจากการมองข้ามปัญหาไปสู่การดำเนินการเชิงรุกและใช้มาตรการเด็ดขาดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในช่วงแรกศูนย์หลอกลวงทางไซเบอร์เป็นเพียงข้อกังวลรองของจีน ถูกมองข้ามเพื่อประเด็นทางการเมืองที่ใหญ่กว่า เช่น การเลือกตั้งในปี 2025 และการเจรจาสันติภาพที่จีนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย แม้จีนจะเคยกล่าวถึงศูนย์เหล่านี้ในการสนทนานโยบายกับเมียนมา แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสนใจหลัก ในขณะเดียวกัน จีนเคยใช้ท่าทีที่สนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมามากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลายของรัฐบาลกลางเมียนมา จีนมองว่าการสูญเสียเมืองล่าเสี้ยวเป็นการบั่นทอนการควบคุมของรัฐบาลทหารอย่างมากและเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของชาติจีนตามแนวชายแดน
อย่างไรก็ตาม จีนไม่พอใจกับศักยภาพของรัฐบาลทหารในการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติและการปกป้องผลประโยชน์ของจีน การค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับพลเมืองจีนได้สร้างความสงสัยอีกครั้งเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลทหาร ทำให้จีนหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันการล่มสลายของกองทัพเมียนมามากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปฏิบัติการ 1027 เมื่อจีนเริ่มให้ความสำคัญกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าจีนอาจอนุมัติการโจมตีในเดือนตุลาคม 2023 เนื่องจากพันธมิตรกลุ่มพี่น้องสาม (3BA) ให้คำมั่นว่าจะปราบปรามศูนย์หลอกลวงตามแนวชายแดนจีน-เมียนมาในรัฐฉาน ซึ่งเป็นปัญหาที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดนพม่าเพิกเฉยและสร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทวิภาคี
เหตุการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือกรณีการลักพาตัวนักแสดงชาวจีน หวังซิง ในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกอย่างมากบนโซเชียลมีเดียของจีน เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดคำถามว่าทำไมแก๊งส่วนใหญ่เป็นคนจีน และมีการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากระบบราชการจีนเบื้องหลังศูนย์เหล่านี้หรือไม่ แรงกดดันจากสาธารณะที่เพิ่มขึ้นจากการติดตามผู้เสียหายผ่านโครงการ "Stars Go Home Plan" ซึ่งแสดงรายชื่อผู้เสียหายกว่า 1,500 ราย ได้ผลักดันให้เจ้าหน้าที่จีนต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดมากขึ้น
นโยบายใหม่ของจีนแสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญใหม่ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลายเป็น "ข้อกังวลหลัก" และ "จุดสนใจสำคัญ" ในการหารือระหว่างจีนกับเมียนมาและไทย จีนมองว่าเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อความมั่นคงในภูมิภาคและเป็นแหล่งของความกังวลภายในประเทศ
การมีส่วนร่วมทางการทูตในระดับสูงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระทรวงความมั่นคงสาธารณะและกระทรวงการต่างประเทศของจีนกำลังประสานงานอย่างแข็งขันกับเจ้าหน้าที่เมียนมาและไทย หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดการกับปัญหาหลอกลวงที่ยังคงคุกคามและสร้างความเสียหายแก่พลเมืองจีนและผู้คนในประเทศอื่น สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีของไทย สำหรับความพยายามของไทยในการต่อสู้กับศูนย์เหล่านี้ รวมถึงการตัดกระแสไฟฟ้าแก่ศูนย์หลอกลวงห้าแห่ง
ความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จีนได้เพิ่มความร่วมมือกับไทยในด้านความมั่นคงข้ามพรมแดนและมีการเสนอและตกลงจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างจีนและไทยเพื่อต่อสู้กับศูนย์หลอกลวง จีนและไทยได้ประสานงานการส่งตัวผู้ต้องสงสัยคดีหลอกลวงทางไซเบอร์ 200 รายกลับประเทศจีน ซึ่งเป็นการส่งตัวกลับครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างสองประเทศ เจ้าหน้าที่จีนระบุว่ามีแก๊งจีน 36 แก๊งที่ดำเนินการในศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้แรงงานบังคับ 100,000 คน
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับจุดเน้นจากรัฐบาลทหาร แม้จีนจะเคยสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมา แต่ความไม่พอใจในความสามารถของรัฐบาลทหารในการต่อสู้กับอาชญากรรม ทำให้จีนต้องแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างแข็งขัน
แม้จะมีความคืบหน้า แต่ความท้าทายยังคงมีอยู่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและการทหารที่ซับซ้อนในเมียนมา เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติยังคงดำเนินงานต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลทหาร ปัญหาดังกล่าวได้เคลื่อนย้ายไปทางใต้สู่ชายแดนไทย-เมียนมา แต่การค้ามนุษย์พลเมืองจีนยังคงดำเนินต่อไป และมีรายงานว่าคดีของผู้เสียหายชาวจีนจำนวนมากไม่ได้รับการสอบสวนจากตำรวจจีน แม้จะมีการติดตามจากสาธารณะก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเพิ่มขึ้นของประเด็นความมั่นคงพลเมืองในนโยบายต่างประเทศของจีน และความพร้อมที่จะใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อปกป้องผลประโยชน์และพลเมืองของตน แม้จะต้องเสียสละความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมเช่นรัฐบาลทหารเมียนมา
ที่มา:
Tucker, S., (2025, April 7), Cyber Scam Centers: A Growing Flashpoint in China-Myanmar Relations, Stimson Center, https://www.stimson.org/2025/cyber-scam-centers-a-growing-flashpoint-in-china-myanmar-relations/
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ