สภาลมหายใจเชียงใหม่ร่วมกับภาคประชาสังคมออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาดของกระทรวงมหาดไทย ชี้เป็นนโยบาย “เสื้อโหล” ไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ พร้อมเรียกร้องให้ทบทวนคำสั่งและรับฟังเสียงท้องถิ่น หลังพบว่าการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมของจังหวัดเชียงใหม่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากำลังได้ผลดี
24 ก.พ. 2568 สภาลมหายใจเชียงใหม่ และกลุ่มภาคประชาสังคม จัดเวที Coffee Talk และแถลงข่าวนโยบายแก้ฝุ่นไฟเชียงใหม่และเสียงสะท้อนจากคนในท้องถิ่น ณ ร้าน Beanbag Coffee จ.เชียงใหม่
ด้านเดโช ไชยทัพ จากมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เผยว่า การลดหรือบรรเทาปัญหาฝุ่นควันเป็นเรื่องร่วมที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการลดแหล่งกำเนิดทุกแห่ง โดยแหล่งที่มีปัญหามากคือพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร ซึ่งลำพังหน่วยงานรัฐหน่วยงานเดียวไม่สามารถจัดการได้ แม้แต่กำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เอาไม่อยู่ ส่วนที่จะมาเสริมคือฝ่ายปกครองและป้องกันบรรเทาสาธารณภัย
“โจทย์ที่ทำตลอดคือ ชุมชนและท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นเติบโตและเข้มแข็ง มีชุมชนที่อยู่ใกล้ชิดป่า 1,000 กว่าชุมชน ถ้าเขาเติบโตและเข้มแข็งก็จะมีความสามารถในการดูแลแหล่งกำเนิด ถ้าเขามีความเข้มแข็งก็จะดูแลไฟป่าได้” เดโชกล่าว
แต่ปัญหาสำคัญคือ แม้กรมป่าไม้จะถ่ายโอนภารกิจให้ท้องถิ่นแล้ว แต่ท้องถิ่นก็ยังทำงานไม่ได้เต็มที่เพราะขาดแคลนงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องความรู้ในการจัดการ “ท้ายที่สุดคือการลดไฟที่ไม่จำเป็นจะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ถ้าใช้อย่างถูกที่ถูกเวลาก็จะเป็นประโยชน์ การป้องกันไฟที่เลวร้ายเป็นสิ่งที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดไฟ คือการควบคุม โดยการแยกแยะ”
เดโชอธิบายว่า การแยกแยะไฟจะช่วยทำให้ระบบที่อยู่ใต้โต๊ะ เช่น การหาของป่าโดยไม่รับผิดชอบ การหาผักหวาน ได้ถูกยกขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ “เรากำลังเปลี่ยนจากการมีอยู่ตามมีตามเกิดให้มาสู่การจัดการ ตั้งแต่การยื่นคำขอ มาสู่การจัดการ ปัจจุบันประสิทธิภาพอาจจะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าเราทำจริงๆ มีการสรุปบทเรียน ทางจังหวัดเราไปสรุปบทเรียนการแยกแยะไฟจำเป็นและไม่จำเป็น เรากำลังจัดการให้มันดีขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เดโชแสดงความกังวลว่า การควบคุมไฟป่ากำลังถูกยกเลิกไปโดยปริยาย กลายเป็นการป้องกันไฟเป็นคำตอบเดียว “ขณะที่ทั่วโลกคิดถึงเรื่องการทำ Fire Management ตอนนี้กำลังเกิดสิ่งที่เรียกว่า Late Burn ไปเกิดไฟในช่วงปลายเดือนมีนาคม กลายเป็นไฟใหญ่ มันจะกลายเป็นไฟเรือนยอด ถ้าเกิดพร้อมกันทั้ง 25 อำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ ไฟที่จะเกิดขึ้นกลางมีนาคม-ต้นเมษายน ซึ่งเป็นไฟที่เรากลัวที่สุด”
เดโชยังชี้ให้เห็นว่า ในส่วนของภาคเกษตร เกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟกำลังเสี่ยงต่อการถูกจับกุม เสี่ยงที่จะไม่มีข้าวกิน “ความเสี่ยงทั้งหมดถูกโยนไปให้คนชายขอบทั้งหมด คนที่ไม่มีข้าวกินก็เลือกความเสี่ยง เขาก็ต้องขโมยเผา”
ด้านชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ตัวแทนสภาลมหายใจเชียงใหม่ ระบุว่า การใช้นโยบาย Zero Burning มา 20 ปีไม่ได้ผล ขณะที่การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาดเป็นการใช้อำนาจที่มากเกินไป “ไม่ควรเป็นคำสั่งแบบเสื้อโหล” ที่บังคับใช้เหมือนกันทั้งประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่กำลังปรับเปลี่ยนหลักคิดและกระบวนการแก้ไขปัญหาใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วนและการจัดทำแผนระดับพื้นที่
“PM 2.5 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เกี่ยวข้องกับกฎหมายป่าไม้ กฎหมายอุทยานแห่งชาติ และการรวมศูนย์อำนาจ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ฝั่งชาวบ้านโดนหนักในช่วงที่ผ่านมา ค่าปรับกรณีที่ชาวบ้านโดนจับถึง 4 แสนบาท โทษหนักยิ่งกว่าอาชญากร แล้วโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า เรามีโทษอะไรบ้าง” ชัชวาลย์กล่าว
ด้านวิสันต์ ปัญญากาศ จากองค์การบริหารส่วนตำบลทาเหนือ เล่าประสบการณ์จากการทำงาน 20 ปีว่า สิ่งที่ทำเกี่ยวกับการจัดการไฟไม่ใช่เรื่องที่ไฟไหม้แล้วไปไล่ดับ โดยพื้นที่ของทาเหนือเป็นพื้นที่สัมปทานเดิม ที่ชาวบ้านร่วมกันฟื้นฟูจากป่าเสื่อมโทรมด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดไฟ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2563 เมื่อเกิดไฟไหม้ใหญ่ในพื้นที่ที่ไม่เคยไหม้มานาน ไฟลุกลามนาน 4 วัน ด้วยสภาพพื้นที่เป็นเขาสูงชัน ชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปดับได้ แม้จังหวัดจะส่งเฮลิคอปเตอร์มาช่วยและใช้งบประมาณจำนวนมาก ก็ไม่สามารถควบคุมไฟได้
“หลังจากนั้นเรามาคุยกันว่าจะป้องกันไฟนี้อย่างไร เราก็เลยใช้วิธีการตัดแนวกันไฟ และทำการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจำนวน 1,000 ไร่ สามารถรักษาป่าได้ แต่มันมีปัญหาไฟจากฝั่งลำปาง คือต้นสนโค่นมายังพื้นที่เรา” วิสันต์กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่าแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ไม่ควรใช้แนวทางเดียวในการปฏิบัติการ
ปัจจุบัน มี 2 หมู่บ้านในตำบลทาเหนือที่จำเป็นต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิง คือบ้านแม่ตะไคร้และบ้านใหม่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดเขตจังหวัดลำปางที่มีไฟข้ามจังหวัดในพื้นที่หน้าผาสูงชัน โดยบ้านแม่ตะไคร้มีพื้นที่ป่า 22,000 ไร่ ใช้พื้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิง 600 ไร่ ส่วนบ้านใหม่มีพื้นที่ป่า 11,000 ไร่ ใช้พื้นที่บริหารจัดการเชื้อเพลิง 800 ไร่
“สิ่งที่เป็นปัญหาคือการสะสมของเชื้อเพลิง โดยกังวลว่าจะเลยจุดที่จะบริหารจัดการตามหลักวิชา จุดที่ควรจัดการคือน้ำหนักของใบไม้ไม่ควรเกิน 5 ขีดต่อตารางเมตร มีงานวิชาการรองรับโดย ดร.กอบศักดิ์ วันธงไชย นักวิชาการด้านวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เราต้องสำรวจละเอียด บางป่า 40 ปีไม่เคยไหม้ เราต้องไปตรวจเช็คพื้นที่ป่าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่มีการจัดการเชื้อเพลิงช้าไปเรื่อย ๆ ขณะที่สภาพอากาศก็จะแล้งไปเรื่อย ๆ ซึ่งเชื้อเพลิงเยอะเช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตราย” วิสันต์กล่าว
ขณะที่วิไลลักษณ์ ชาวอาข่า ตัวแทนสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ย้ำว่าควรแยกไฟป่ากับภาคเกษตรออกจากกัน เนื่องจากชาวบ้านไม่ได้เผาป่าและไม่มีความจำเป็นต้องไปเผาป่า แต่การใช้ไฟในพื้นที่เกษตรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้ดิน ทำให้พืชผลเจริญเติบโต “ชาวเขาไม่ได้เผาไปเรื่อย ไม่มีการจัดการ ไม่เคยเผาเกษตรแล้วลามไปถึงป่า ชุมชนจัดการจะมีการควบคุมไฟ การเผาต้องเผาในช่วงที่แห้งที่สุด จะเป็นการเผาที่สมบูรณ์ ชาวเขาก่อนจะเผามีการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้เราเห็นมาตลอด”
วิไลลักษณ์ยังสะท้อนว่า นโยบายที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน “ตอนนี้หลายพื้นที่พอปลูกเองไม่ได้ เราต้องซื้อข้าวกิน ไร่หมุนเวียนถูกปรับเปลี่ยน ไม่สามารถทำได้ ไร่หมุนเวียนเป็นการเกษตรแบบธรรมชาติช่วยธรรมชาติ แต่ตอนนี้ต้องใช้สารเคมีเพิ่มขึ้น” พร้อมเรียกร้องให้เห็นใจคนที่อยู่กับป่า “เราอยู่ที่นั่น เกิดที่นั่น ป่าดูแลเรา เราก็ต้องดูแลป่า อยากเห็นการจัดการที่มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน เรายินดีร่วมมือกับทุกฝ่าย”
ปฐมพงษ์ เจริญมูล อาสาดับไฟป่าบ้านแม่นาป้าก อ.แม่แตง เล่าว่าหมู่บ้านของเขามีป่าชุมชน 2,200 ไร่ เริ่มทำงานดับไฟป่ามาตั้งแต่ปีแรกเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร เมื่อเกิดไฟก็เข้าไปดับ จนถึงปีที่ 3 จึงคิดว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล กระทั่งปีที่ 5 หมู่บ้านได้พัฒนาแผนการจัดการไฟตั้งแต่เดือนมิถุนายน เตรียมพร้อมที่จะเป็นปีที่สู้กับไฟได้ดีที่สุด มีการทำแนวกันไฟ ทำแนวดำ (การเผาเศษใบไม้บริเวณแนวกันไฟ) และชิงเผา
“ปีล่าสุด การจัดการกลุ่มคนที่เข้ามาหาของป่าในหมู่บ้านทำได้ยากขึ้น หมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านหาของป่า และมีเห็ดถอบเยอะมาก เป็นพื้นที่ที่ไฟขึ้นตลอด แต่ในปีนี้ เมื่อมีคำสั่งห้ามเผา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือชุมชนไม่สามารถจัดการพื้นที่นี้ได้อีก กลายเป็นว่าคนหาเห็ดไม่สามารถควบคุมคนที่เข้ามาหาเห็ดถอบได้ และจะเกิดการแอบเผา “กำนันผู้ใหญ่บ้านจะเหนื่อยมาก เพราะเราต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วต้องมาดับไฟ ป้องกันไฟป่า แผนของเราที่ดีที่สุดในปีนี้ ซึ่งวางแผนมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว แผนเราไม่ใช่แค่การทำแนวกันไฟ”
“การใช้คำสั่งห้ามเผาเด็ดขาดทำให้ผมทำงานเหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะเราไม่รู้ว่าไฟมาจากไหน เขาจะแอบเผาอีกดอยหนึ่ง ผมก็ต้องไปดับ ถ้าเราไม่มีแผนการจัดการที่ดี คนที่เหนื่อยที่สุดคือคนในพื้นที่ ผมเป็นอาสาดับไฟป่าของชุมชนก็จำเป็นต้องไป” ปฐมพงษ์กล่าว
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนแล้ว สภาลมหายใจเชียงใหม่ และเครือข่ายอันได้แก่ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายสุขภาพ เห็นว่าเพื่อทำให้การดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันจังหวัดเชียงใหม่สามารถปฏิบัติการได้จริง จำเป็นต้องฟังเสียงสะท้อนของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงผลกระทบสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการดำเนินวิถีชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ โดยมีข้อเสนอดังนี้
เครือข่ายจึงเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. นโยบายไม่ควรเป็นแบบเดียวกันทั้ง 77 จังหวัด ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่ 2. ให้ทบทวนคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานสับสน และ 3.การดำเนินนโยบายต้องรับฟังเสียงท้องถิ่นและผู้ได้รับผลกระทบเป็นสำคัญ หากไม่มีการทบทวนภายในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิง ทางเครือข่ายจะประกาศถอนตัวจากการร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันกับจังหวัด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ