รองนายกฯ “ประเสริฐ” นั่งหัวโต๊ะ คสช. พิจารณาวาระสุขภาพ ที่ประชุมรับทราบแผนงาน 4 องค์กร “สช.-สสส.-สปสช.พอช.” จับมือบูรณาการสร้างกลไกจัดเก็บ-รวบรวม-ใช้งาน “ข้อมูล” ร่วมกันเพื่อเสริมศักยภาพการทำงานในระดับพื้นที่ พร้อมแสดงผลผ่านแดชบอร์ด ให้หน่วยงานภายนอกนำไปวิเคราะห์-ใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ได้ ด้านเลขาฯ คสช. เชิญชวนภาคีทั่วประเทศสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น “กขป.” กลไกเชื่อมร้อยทุกภาคส่วนร่วมพัฒนาระบบสุขภาพพื้นที่
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยที่ประชุมได้ร่วมกันรับทราบและให้ข้อเสนอแนะถึงการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคียุทธศาสตร์ในการบูรณาการข้อมูลทรัพยากรทางสังคมและสุขภาพเพื่อเสริมศักยภาพพื้นที่ (Social and Health: Area Resources Empowerment Project; SHARE)
สำหรับการดำเนินการดังกล่าว สช. และหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ได้ร่วมกันจัดตั้งกลไกการดำเนินงาน เพื่อรวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจากแหล่งข้อมูลของทั้ง 4 หน่วยงาน เข้ามาจัดการและปรับโครงสร้างของข้อมูลให้สามารถใช้ร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยี Data Lake, Data Warehouse, Data Pipeline ในการจัดการข้อมูล
นายประเสริฐ เปิดเผยว่า เป้าหมายของทั้ง 4 หน่วยงานในการเชื่อมโยงบูรณาการและใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูลร่วมกันนั้น นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญและสอดรับกับโจทย์ทิศทางนโยบายของประเทศไทยในการเข้าสู่รัฐบาลดิจิทัล ที่มุ่งมั่นให้หน่วยงานต่างๆ เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยยกระดับการให้บริการภาครัฐตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน บนพื้นฐานการใช้ระบบเทคโนโลยีต่างๆ เช่น คลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาสนับสนุน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ในส่วนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของทั้ง 4 หน่วยงาน นอกจากจะมีการจัดกลุ่มข้อมูลให้สามารถใช้ร่วมกันได้แล้ว ยังมีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องมือ Business Intelligence (BI) ทั้งข้อมูลภาคีเครือข่าย ข้อมูลความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และข้อมูลแผนงานและโครงการในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงข้อมูลสถานการณ์ในพื้นที่ ได้แก่ ข้อมูลประชากร ข้อมูลด้านสุขภาพและอายุคาดเฉลี่ย ตลอดจนข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ที่นำมาแสดงผลในรูปแบบแดชบอร์ด (Dashborad) ซึ่งหน่วยงานภายนอกยังสามารถนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้
“การสานพลังของ 4 หน่วยงาน ทั้ง สช. สสส. สปสช. และ พอช. ซึ่งล้วนเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน จะช่วยให้เกิดภาพการทำงานแบบมีส่วนร่วม สามารถวิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขได้อย่างทันสถานการณ์ เติมเต็มส่วนที่ยังขาด อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของรัฐบาลที่มีเป้าหมายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มศักยภาพการทำงาน และตอบสนองความต้องการของประชาชน” ประธาน คสช. กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุม คสช. ยังได้มีมติเห็นชอบ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 พ.ศ. 2567 ประกอบด้วย 1. พลิกโฉมกำลังคนเพื่อสังคมสุขภาวะ และ 2. การท่องเที่ยวแนวใหม่ สู่สุขภาวะและเศรษฐกิจไทยยั่งยืน ซึ่งภาคีเครือข่ายรวมกว่า 1,639 คน ที่เข้าร่วมในเวทีสมัชชาสุขภาพฯ เมื่อวันที่ 27-28 พ.ย. 2567 ได้ร่วมกันให้การรับรอง โดยที่ประชุม คสช. ได้มอบหมายให้ สช. เสนอมติทั้ง 2 ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อทราบและมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ รับไปพิจารณาดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายประเสริฐ กล่าวว่า มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ทั้ง 2 ประเด็นล่าสุดนี้ เป็นนโยบายสาธารณะที่ได้รับฉันทมติจากภาคีเครือข่ายหลากหลายภาคส่วน ซึ่งมีทิศทางของการยกระดับทั้งในมิติสุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่บทบาทภาคประชาชนในระบบสุขภาพปฐมภูมิ เช่นเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจากการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งทิศทางเหล่านี้คือส่วนที่จะช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืนจากระดับชุมชนสู่ประเทศ รวมไปถึงประเด็นใหม่ๆ ที่น่าสนใจและกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเข้าสู่กระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ในปีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า แม้ปลายทางของกระบวนการพัฒนานโยบายคือการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. หากแต่ขั้นตอนสำคัญที่แท้จริงหลังจากนี้ คือการทำให้ทิศทางนโยบายที่ภาคีเครือข่ายต่างๆ เห็นพ้องร่วมกันมา ถูกนำไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นที่ประชุม คสช. จึงยังมอบหมายให้ สช. แจ้งมติฯ เหล่านี้ให้หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามเห็นสมควร พร้อมกับมอบหมายให้มีการติดตามผ่านกลไกของ คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) ที่จะนำมารายงานให้ คสช. รับทราบความคืบหน้าต่อไป
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ คสช. กล่าวว่า สช. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสานพลังกับภาคีเครือข่าย เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา สช. และหน่วยงานยุทธศาสตร์ทั้ง สสส. สปสช. และ พอช. ได้หนุนเสริมการทำงานซึ่งกันและกันในหลายรูปแบบตามภารกิจของหน่วยงาน เช่น การประสานการดำเนินงาน การสนับสนุนงบประมาณแก่ภาคีเครือข่าย การกำหนดและขับเคลื่อนประเด็นร่วมสำหรับกลุ่มประชากรเป้าหมาย หรือพื้นที่การทำงาน เป็นต้น
“ภาคีทั้ง 4 องค์กร เรามองว่าการมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยง บูรณาการ และใช้ประโยชน์ร่วมกัน จะทำให้เกิดการทำงานแบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการมีข้อมูลทางสังคม ข้อมูลสถานะทางสุขภาพ ที่สามารถนำไปใช้เป็นฐานของการดำเนินงาน การวางแผน การแก้ไขปัญหา ตลอดจนพัฒนานโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่ หรือเรียกว่า Data-Driven Policy จึงเป็นที่มาที่ได้ร่วมกันดำเนินการเชื่อมโยงบูรณาการและใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูลร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเสริมประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งล่าสุดก็นับเป็นเกียรติที่ สช. ได้รับรางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านส่งเสริมการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ประจำปี 2567 จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลด้วย” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวว่า โจทย์หนึ่งที่ท้าทายในกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ คือการเดินหน้าผลักดันให้ทิศทางนโยบายที่นอกจากจะร่วมกันคิดขึ้นมาแล้วนั้น นำไปสู่การร่วมเป็นเจ้าของ ร่วมทำ และร่วมกันรับประโยชน์ ซึ่ง สช. เองก็มีองคาพยพอีกหลายกลไกที่มีส่วนช่วยผลักดันนโยบายต่างๆ ให้นำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ในระดับพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ที่มีอยู่ 13 เขตพื้นที่ทั่วประเทศ โดยชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 11 ก.ค. 2568 ขณะนี้ทาง สช. จึงอยู่ระหว่างดำเนินการสรรหา กขป. ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป
“กขป. เป็นกลไกสำคัญที่มีบทบาทในการบูรณาการ หรือเปรียบได้กับเป็นเส้นด้ายที่ถักทอเชื่อมร้อยภาคส่วนต่างๆ ในระดับพื้นที่ ให้เข้ามารวมเป้าหมาย ทิศทาง ยุทธศาสตร์ และทรัพยากรต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระดับพื้นที่ มุ่งเน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพและสุขภาวะ ตามประเด็นและบริบทของแต่ละแห่ง จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ที่มีความสนใจร่วมกันสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น กขป. ทั้ง 13 เขตได้ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 17 มี.ค. 2568 โดยติดตามรายละเอียดและคุณสมบัติได้ทางเว็บไซต์ของ สช.” นพ.สุเทพ กล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ