สารคดีตีแผ่โบราณวัตถุที่ถูกขโมยจากกัมพูชา ใช้ข้อมูลจาก Pandora Papers

กองบรรณาธิการ TCIJ 10 เม.ย. 2568 | อ่านแล้ว 607 ครั้ง


ภาพยนตร์เรื่อง “LOOT: A Story of Crime and Redemption,” ตีแผ่ปัญหาโบราณวัตถุที่ถูกขโมยไปจากกัมพูชา อ้างอิงข้อมูลจากรายงาน Pandora Papers ของสมาคมนักข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ICIJ)

ภาพยนตร์เรื่อง “LOOT: A Story of Crime and Redemption,” (เรื่องราวของอาชญากรรมและการไถ่บาป) ซึ่งเพิ่งเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ได้ต่อยอดข้อมูลจากการเปิดโปงของ Pandora Papers เกี่ยวกับ ดักลาส แลตช์ฟอร์ด (Douglas Latchford) พ่อค้าโบราณวัตถุชาวอังกฤษผู้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้เจาะลึกถึงการค้าที่ผิดกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นจากการขึ้นสู่อำนาจของเขมรแดงในทศวรรษ 1970 และยังรวมถึงเรื่องราวของอดีตนักปล้นหลายรายด้วย

หัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่ความตึงเครียดระหว่างการที่โลกศิลปะยอมมองข้ามที่มาอันคลุมเครือของวัตถุโบราณหลายสิบชิ้นที่เชื่อมโยงกับแลตช์ฟอร์ดและผู้สมรู้ร่วมคิด กับการรณรงค์อย่างไม่ลดละของรัฐบาลกัมพูชาเพื่อทวงคืนสิ่งที่สูญเสียไป

“ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องราวของสองโลกอย่างแท้จริง” ดอน มิลลาร์ (Don Millar) ผู้กำกับภาพยนตร์กล่าว “ด้านหนึ่ง คุณมีสถาบันและบุคคลชั้นสูงเหล่านี้ที่ไม่เพียงสะสมวัตถุเหล่านี้ แต่ยังสะสมงานศิลปะจากทั่วโลก แล้วคุณก็มีคนอีกกลุ่มที่เป็น…แค่เด็กๆ ที่ถูกบังคับให้บุกปล้นวัดเหล่านี้ในสงครามกลางเมืองที่ดำเนินต่อไปไม่รู้จบ”

มิลลาร์เริ่มสนใจเรื่องนี้หลังจากได้อ่านรายงานสืบสวนในปี 2021 ของสมาคมนักข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ICIJ) และ Washington Post ที่ให้รายละเอียดการใช้บริษัทนอกอาณาเขตและกองทรัสต์ของแลตช์ฟอร์ดเพื่อถือครองโบราณวัตถุกัมพูชาที่ถูกปล้นมา รายงานดังกล่าวเผยให้เห็นว่าสมบัติล้ำค่าที่ถูกขโมยเหล่านี้ไปปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันทรงเกียรติที่สุดของโลกบางแห่งได้อย่างไร รวมถึงอย่างน้อย 12 ชิ้นในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน (Metropolitan Museum of Art หรือ พิพิธภัณฑ์ Met)

ในปี 2012 ทางการสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องคดีโด่งดังต่อสถาบันประมูลซัทเทบีส์ (Sotheby’s) เกี่ยวกับประติมากรรมหินทรายสมัยศตวรรษที่ 10 ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าผ่านมือของแลตช์ฟอร์ด และถูกนำออกประมูลทั้งที่นายหน้าค้างานศิลปะรายนี้รู้ว่าวัตถุดังกล่าวถูกขโมยมา แลตช์ฟอร์ดปฏิเสธการเป็นเจ้าของโบราณวัตถุชิ้นนั้น ซึ่งต่อมาถูกส่งคืนให้กัมพูชาในปี 2013 หลังจากที่การขายถูกระงับตามคำร้องขอของกัมพูชา

ไม่นานหลังจากคดีของซัทเทบีส์ แลตช์ฟอร์ดและครอบครัวของเขาได้เริ่มก่อตั้งทรัสต์และบริษัทนอกอาณาเขตเพื่อถือครองทรัพย์สินทางการเงินจำนวนมหาศาล โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ไทรเดนท์ ทรัสต์ (Trident Trust) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านองค์กรที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลรั่วไหลใน Pandora Papers

แลตช์ฟอร์ดถูกตั้งข้อหาในปี 2019 ฐานเป็นผู้วางแผนการลักลอบนำโบราณวัตถุกัมพูชาที่ถูกขโมยเข้าสู่ตลาดศิลปะนานาชาติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าได้สร้างประวัติความเป็นมาปลอมให้กับวัตถุเหล่านั้น เขาเสียชีวิตในปีถัดมาก่อนที่คดีความจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาล


เส้นทางสู่ปราสาทกระฮ่อม (Prasat Krohom) หรือที่รู้จักกันในนาม "ปราสาทแดง" ที่เกาะแกร์ (Koh Ker) ประเทศกัมพูชา เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านบางครั้งใช้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ ภายในปรางค์แดงมีฐานตั้งที่ว่างเปล่า อันเป็นที่เคยประดิษฐานรูปปั้นซึ่งถูกขโมยไป | ที่มาภาพ: Kim Hak

มาเลีย โพลิตเซอร์ (Malia Politzer) ซึ่งปรากฏตัวในสารคดีและทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ICIJ ในการสืบสวนคอลเลกชันของแลตช์ฟอร์ดและพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับวัตถุจากเครือข่ายของเขา กล่าวว่า ประวัติความเป็นมาของโบราณวัตถุนั้นสามารถปลอมแปลงได้ง่าย

“ฉันคิดว่าหนึ่งในบริการที่แลตช์ฟอร์ดมอบให้คือการสร้างข้ออ้างที่พอฟังขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิด และเป็นการฟอกประวัติโบราณวัตถุเหล่านี้” โพลิตเซอร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้สื่อข่าวให้กับ Finance Uncovered ซึ่งเป็นพันธมิตรของ ICIJ กล่าว “ดังนั้น เขาจึงสร้างประวัติความเป็นมาปลอมให้กับโบราณวัตถุ ทำให้สามารถขายมันในลักษณะที่ดูเหมือนถูกต้องโปร่งใสในสายตาผู้ซื้อได้”

ในการสืบสวนปี 2021 ICIJ และ Washington Post ได้เปิดเผยถึงโบราณวัตถุ 12 ชิ้นในคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์ Met ที่เชื่อมโยงกับแลตช์ฟอร์ด ต่อมารายงานเพิ่มเติมจาก ICIJ และพันธมิตรสื่อในปี 2023 ซึ่งตรวจสอบคอลเลกชันโบราณวัตถุของ Met อย่างละเอียด พบว่าพิพิธภัณฑ์มีโบราณวัตถุมากกว่า 1,100 ชิ้นที่เชื่อมโยงกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนักปล้นและผู้ค้าของเถื่อน — และกว่า 300 ชิ้นถูกจัดแสดง ณ เวลานั้น

สืบเนื่องจากรายงานของ ICIJ สำนักงานอัยการเขตแมนฮัตตันได้ดำเนินการยึดโบราณวัตถุหลายครั้งที่พิพิธภัณฑ์ Met ในขณะเดียวกัน พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ แห่งนี้ก็ได้เพิ่มความพยายามในการตรวจสอบและขจัดงานศิลปะที่ถูกขโมยมาออกจากคอลเลกชัน ในปี 2023 พิพิธภัณฑ์ได้จ้างทีมนักวิจัยด้านประวัติความเป็นมาจำนวน 4 คน และเมื่อปีที่แล้ว (2024) ได้แต่งตั้งอดีตผู้บริหารของซัทเทบีส์ มาเป็นหัวหน้าทีมดังกล่าว

แลตช์ฟอร์ดมีบทบาทเด่นในสารคดีเรื่องนี้ ซึ่งเล่าถึงความหลงใหลในโบราณวัตถุเขมรที่เพิ่มมากขึ้นของเขาในช่วงอายุ 20 ปี อันนำไปสู่การที่เขาเข้าไปพัวพันกับการค้าโบราณวัตถุผิดกฎหมายนานหลายทศวรรษ เรื่องราวของภาพถ่ายที่ถูกแก้ไขเพื่อซ่อนโบราณวัตถุกัมพูชาที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยมา ในนิตยสาร Architectural Digest ซึ่งนำเสนอภาพบ้านของครอบครัวมหาเศรษฐีลินเดอมันน์ (Lindemann) ก็ถูกกล่าวถึงด้วยเช่นกัน

มิลลาร์และทีมงานของเขาได้สัมภาษณ์อดีตนักปล้นหลายคน อดีตนักปล้นคนหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกขานว่า “เสือสีน้ำเงิน” (Blue Tiger) เล่าถึงการขุดค้นและหลบหนีไปพร้อมกับรูปปั้นอันวิจิตรที่เป็นรูปพระสกันท์ (Skanda) เทพเจ้าแห่งสงครามของฮินดูทรงนกยูง ซึ่งถูกฝังอยู่ที่ปราสาทกระจับ (Prasat Krachap) ในกลุ่มปราสาทเกาะแกร์ (Koh Ker) หลังจากที่นักปล้นขุดรูปปั้นขึ้นมาจากส่วนในสุดของปราสาท มันถูกนำขึ้นเกวียนไปยังนายหน้าค้าโบราณวัตถุที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และขายไปในราคาประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐ ตามคำฟ้องคดีแพ่งปี 2021 ที่ยื่นโดยอัยการในเขตใต้ของนิวยอร์ก ซึ่งเรียกร้องให้ริบรูปปั้นดังกล่าว นายหน้าคนนั้นได้ขายมันให้กับแลตช์ฟอร์ด ซึ่งแลตช์ฟอร์ดได้ขายรูปปั้นนั้นต่อไปในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างอย่างเป็นเท็จว่ามันมีต้นกำเนิดจากประเทศไทย

สารคดีเรื่องนี้เปิดโปงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเงินอย่างรุนแรงที่อดีตนักปล้นบางคนต้องเผชิญ และความแตกต่างอย่างมากระหว่างค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับกับมูลค่าของวัตถุที่พวกเขาขโมยมาซึ่งถูกนำไปขายต่อในภายหลัง ในบางกรณี นักปล้นที่บุกรุกแหล่งโบราณคดีได้รับค่าจ้างเพียงสัปดาห์ละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ต้องเดินทางฝ่าภูมิประเทศป่ารกทึบที่เต็มไปด้วยระเบิดเพื่อเข้าไปยังปราสาทโบราณ

เรื่องราวของพวกเขาก่อให้เกิดเส้นเรื่องของการไถ่บาปในภาพยนตร์ โพลิตเซอร์กล่าว ในการทำงานร่วมกับ โพณิตา แก้ว (Ponita Keo) นักเขียนและผู้กำกับศิลป์ และ มกรา อุช (Makara Ouch) นักเขียนและบรรณาธิการเรื่อง มิลลาร์กล่าวว่า เขาต้องการนำเสนอเรื่องราวของอดีตนักปล้น “ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรี” และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้บอกเล่าเรื่องราวของตนเอง — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้ถึงวาระครบรอบ 50 ปีที่เขมรแดงยึดอำนาจ

“หลายครั้งที่ประเทศนี้ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ภาพมักจะหยุดนิ่งอยู่ในช่วงเวลานั้น ใช่ไหมครับ? ดังนั้น ผู้คนจึงถูกนำเสนอในลักษณะที่ไม่ให้เกียรติ พวกเขาดูเหมือนสิ้นหวัง” มิลลาร์กล่าว “และนั่นไม่ใช่ความจริงเลย อันที่จริง พวกเขากำลังชนะในการต่อสู้ครั้งนี้”

ที่มา:
ambodian ‘blood antiquities’ documentary draws on ICIJ’s Pandora Papers reporting (Sam Ellefson, ICIJ, 9/2/2025)

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: