นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ “ว้าแดง” คือภัยคุกคามของไทย เหตุรุกล้ำข้ามแดน-ปัญหาสารพิษในแม่น้ำ-ยาเสพติด ฯลฯ ต้องมียุทธศาสตร์กดดันให้หยุดพฤติกรรม แจงภารกิจ 3 หน่วยงาน การต่างประเทศ-กลาโหม-สภาความมั่นคง ยกระดับจัดการเชิงรุก แนะ ใช้เวที RBC พูดคุยปัญหายาเสพติด-ว้าแดง ให้เข้มข้นมากขึ้น
6 มิ.ย. 2568 จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ "ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน" ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตอนหนึ่งว่าแหล่งผลิตยาเสพที่ติดที่สำคัญอยู่ในพื้นที่ของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธว้าแดง เขตรัฐฉาน อีกภายใน 1 – 2 เดือน รมว.การต่างประเทศ จะต้องเข้าไปพบปะกับผู้นำเมียนมาให้จัดการ หากทำไม่ได้ ประเทศไทยคงต้องขออนุญาตจัดการด้วยตนเอง และหากยังผลิตจะถือว่าเป็นศัตรู
รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า หากตัดบริบททางด้านการเมืองของอดีตนายกฯ ทักษิณออกไป และมุ่งเป้ามาที่วิธีคิดในการจัดการปัญหากับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธว้าแดง ส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วยว่าว้าแดงคือภัยคุกคามของประเทศไทย ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ก็ล้วนแต่มีต้นทางมาจากพื้นที่ควบคุมของว้าแดง รวมถึงที่ผ่านมาพบว่ามีการละเมิดและล้ำแดนเข้ามายังพื้นที่ชายแดนไทยภาคเหนือหลายจุด ดังนั้นการที่อดีตนายกฯ ทักษิณ กล่าวว่าจะต้องมีการเข้าไปเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา และหากจัดการไม่ได้จะเข้าไปจัดการเอง ส่วนตัวคิดว่าก็น่าจะเป็นแบบนั้น
“ในแง่ของหลักการ ถ้า ณ วันนี้ เราคิดเหมือนกันว่าไม่ควรจะตั้งรับต่อปัญหาต่างๆ ที่เพื่อนบ้านส่งออกมาอย่างเดียว ประเทศไทยจะต้องดำเนินการยุทธศาสตร์เชิกรุก เพิ่มขีดความสามารถของเราในการกดดัน เพื่อทำให้ว้าแดงหยุดพฤติกรรมที่เป็นภัยคุกคามกับประเทศไทยและภูมิภาคมากขึ้น ส่วนตัวคิดว่ามันก็คงต้องเดินตามครรลองแบบนั้น แต่ในเรื่องของวิธีการ หรือสไตล์ต่างๆ ก็ว่ากันไป” รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า หลังจากการพูดคุย กรณีที่รัฐบาลเมียนมาต้องการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ไม่ประสงค์จะให้ทางการไทยเข้าไปล่วงล้ำกิจการภายใน ก็ควรมีการกำหนดกรอบระยะเวลาอย่างชัดเจน ว่าจะจัดการปัญหานี้แล้วเสร็จเมื่อใด มิใช่การรับปากลอยๆ แล้วจบไป ส่วนในกรณีที่ไทยจะเข้าไปจัดการเองนั้น ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการได้บนเงื่อนไขใด
ทั้งนี้ ปัจจุบันศักยภาพทางการทหารของกลุ่มว้าแดงมีกองกำลังกึ่งๆ ทหารประจำการ และมีปืนใหญ่ซึ่งอาจจะมีวิถีการยิงในระยะไม่ไกลมากนัก แต่ก็ถือเป็นเขี้ยวเล็บอันสำคัญ หากจะสู้รบกันจริงๆ คงต้องมีการเพิ่มกองกำลังทางทหารของไทยอย่างจริงจังและมากพอสมควร แต่ส่วนตัวคิดว่าสถานการณ์คงยังไม่สุกงอมและไม่หนักพอที่จะไปถึงจุดนั้น คิดว่าน่าจะออกมาในลักษณะของการเพิ่มกองกำลังตรวจตระเวนในพื้นที่ชายแดนของไทยเอง หรือการบริหารจัดการภายในประเทศเพื่อใช้มาตรการกดดันในรูปแบบต่างๆ มากกว่า
นอกจากนี้ 3 หน่วยงานยุทธศาสตร์หลักที่จะต้องดูแลและรับผิดชอบการดำเนินงานระหว่างไทยและเมียนมา คือ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงกลาโหม (กห.) จะต้องทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น
กรณีของ กต. องค์กรในสังกัดที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ กรมเอเชียตะวันออก กรมอาเซียน หรือสถานทูตไทยในเมืองย่างกุ้ง จะต้องจัดทำฐานข้อมูลและมีการนัดพูดคุยประเด็นเรื่องปัญหายาเสพติดกับตัวแทนของรัฐบาลทหารเมียนมาที่กรุงกรุงเนปิดอว์เป็นหลัก
ขณะที่ สมช. จะต้องดำเนินการวางแผนการป้องกันประเทศโดยให้ความสำคัญไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์ชายแดนไทยภาคเหนือ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงยุทธศาสตร์เข้ากับกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์แต่ละกลุ่ม ที่จะเป็นพันธมิตรกับไทยอย่างเช่นกลุ่มไทใหญ่ให้เป็นรัฐกันชนให้ เป็นต้น
นอกจากนั้น คือ กห. มีหน้าที่ในการกำกับดูแลงานด้านความมั่นคง ซึ่ง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ก็คงต้องพยายามกำกับกองทัพหลากหลายเหล่าทัพให้ดำเนินการป้องกันชายแดนในลักษณะที่ประณีตและละเอียดขึ้น ทางกองทัพบกก็ต้องมีคำสั่งไปยังกองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) กับกองกำลังผาเมือง เพื่อวางกองร้อยให้มีความเหนียวแน่นและมีความถี่มากขึ้น เพราะปัญหาที่ว้าแดงรุกล้ำเข้ามายังดินแดนของไทยในช่วงที่ผ่านมา ก็เกิดจากการวางกำลังไม่เพียงพอ
รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าวอีกว่า ช่องทางการพูดคุยที่หน่วยงานความมั่นคงมักใช้ผ่านเวทีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC)ไทย – เมียนมา ก็จะต้องจัดให้ถี่ขึ้น โดยพูดคุยวาระหลักเรื่องปัญหายาเสพติดจากว้าแดงให้ลึกและเข้มข้นขึ้นไปอีก และในบางจุดที่ว้าแดงลักลอบขนส่งยาเสพติด ไทยจะต้องปิดจุดพื้นที่ตรงนั้นให้มากขึ้นเช่นกัน
“ควบคู่ไปกับการเจรจากับกองบัญชาการ 171 ของว้าแดงใต้ กับกองบัญชาการหลักซึ่งอยู่ที่ปางซาง เพื่อให้เขาลดการผลิตยาเสพติด หรือลดการตั้งฐานทหารที่รุกล้ำเข้ามาแดนไทย แต่หากการเจรจาล่าช้า หรือไม่เป็นผล เราก็ต้องมีมาตรการกดดัน เช่นการเพิ่มจุดการวางปืนใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าจะทำการรบ แต่เป็นการตั้งรับและข่มขวัญทางยุทธศาสตร์คู่ตรงข้าม หรือจะปิดช่องทางเข้า-ออก ไม่ให้ว้าแดงเข้ามาใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่นเดินทางเข้ามาค้าขายหรือมาใช้บริการโรงพยาบาลในพื้นที่ของไทย เพื่อสร้างแรงกดดันกลับไป เป็นต้น อย่างที่กล่าวไปว่าถึงเวลาที่เราควรจะเดินหน้าแบบเชิงรุก มากกว่าการตั้งรับได้แล้ว ไม่งั้นเราจะแก้ปัญหาไม่ตรงจุดเสียที” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ